ThinkMarketsThinkMarkets
ThinkMarketsThinkMarkets

ดัชนี

ดาวโจนส์, S&P 500, และดัชนี FTSE Taiwan เป็นมาตรฐานที่สะท้อนถึงแนวโน้มโดยรวมของตลาดหุ้นในภูมิภาคหนึ่งๆ

บทความ (2)

ทั้งหมด
ผู้เริ่มต้น
ขั้นสูง
อะไรคือข้อดีของ US30 เมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures? จะเทรด US30 ได้อย่างไร?

อะไรคือข้อดีของ US30 เมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures? จะเทรด US30 ได้อย่างไร?

<style type="text/css">.small-view .article-image{ width: 100%; } .medium-view .article-image{ width: 70%; } .large-view .article-image{ width: 70%; } </style> <p>US30 เป็นดัชนีที่ถูกเทรดกันทั่วไปในวงการซื้อขายฟอเร็กซ์ US30 เป็นผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่นำเสนอโดยโบรกเกอร์ CFD โดย US30 จะติดตามความเคลื่อนไหวของ Dow Jones Industrial Average (DJIA)<br /> &nbsp;<br /> ในบทความนี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ US30 จากข้อกำหนดของ US30 ข้อดีของ US30 เมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures วิธีซื้อขาย US30 และท้ายที่สุดเราจะแนะนำโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือซึ่งเสนอ US30<br /> &nbsp;<br /> แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับสินทรัพย์ US30 กันก่อน<br /> &nbsp;</p> <h2 id="US30 อะไรคือ?">1. US30 อะไรคือ?</h2> <p>ดัชนี US30 หรือที่รู้จักกันในชื่อดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA)&nbsp;หรือ DJ30 เป็นสินทรัพย์ซื้อขายยอดนิยมในรูปแบบของสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD)</p> &nbsp; <p>สินทรัพย์อ้างอิงของบริษัท Dow Jones เป็นดัชนีอ้างอิงที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีการซื้อขายหุ้นสาธารณะชั้นนำ 30 แห่งในสหรัฐอเมริกา</p> &nbsp; <p>US30 CFD ติดตามการเคลื่อนไหวของ Dow Jones Industrial Average ซึ่งเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักราคา บริษัทที่รวมอยู่ใน US30 โดยทั่วไปแล้วจะเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ</p> &nbsp; <p>นักลงทุนและเทรดเดอร์มักใช้ US30 เป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของตลาดและเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจลงทุน โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของภาคส่วนสำคัญๆ เช่น เทคโนโลยี การเงิน การดูแลสุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค</p> &nbsp; <p>การซื้อขาย CFD US30 ช่วยให้ผู้เข้าร่วมตลาดสามารถเก็งกำไรการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตของดัชนีโดยไม่ต้องซื้อสินทรัพย์อ้างอิง</p> &nbsp; <p>นี่เป็นตัวสร้างโอกาสสำหรับเทรดเดอร์ในการทำกำไรจากตลาดทั้งขาขึ้นและขาลง โดยใช้ประโยชน์จากความผันผวนและสภาพคล่องของตลาดหุ้นสหรัฐฯ</p> &nbsp; <p>หลังจากที่เราได้ทราบเกี่ยวกับ US30 CFD บางท่านอาจสับสนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง US30 CFD และ Dow Jones Future เนื่องจากข้อกำหนดที่คล้ายคลึงกันของสินทรัพย์ทั้งสอง แต่ทั้งสองรายการมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเล็กน้อยซึ่งเราจะแสดงให้คุณดู ด้านล่าง<br /> &nbsp;</p> <h2 id="ข้อกำหนดของ US30: ความแตกต่างระหว่าง US30 CFD และ ฟิวเจอร์">2. ข้อกำหนดของ US30: ความแตกต่างระหว่าง US30 CFD และ ฟิวเจอร์</h2> <p>ก่อนที่เราจะทราบถึงความแตกต่างระหว่าง CFD และ Dow Jones Future เราจะมาสำรวจแนวคิดสั้นๆ เกี่ยวกับวิธีการทำงานของสัญญาฟิวเจอร์ก่อนที่เราจะทราบเกี่ยวกับข้อได้เปรียบของ CFD<br /> <br /> สัญญาซื้อขายล่วงหน้า Dow Jones Industrial Average (DJIA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dow Futures เป็นสัญญาทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรของ Dow Jones Industrial Average ได้<br /> <br /> สัญญาฟิวเจอร์สเหล่านี้มีการซื้อขายในการแลกเปลี่ยนฟิวเจอร์ส เช่น Chicago Mercantile Exchange (CME)<br /> <br /> หลังจากการแนะนำ Dow Jones Future โดยย่อ เราจะแจกแจงรายละเอียด Dow Jones Futures และ US30 เพื่อช่วยขจัดความสับสนระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองในตารางด้านล่าง &nbsp;</p> &nbsp; <style type="text/css">thead { background-color: #3e4a5a; } thead tr th { color: white; } .header-row { background-color: #3e4a5a; } .header-row th { color: white; } </style> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="width: 100%; margin: auto;"> <thead> <tr style="header-row"> <th style="text-align: center;">&nbsp;</th> <th style="text-align: center;"><strong>ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส</strong></th> <th style="text-align: center;"><strong>US30 (CFD)</strong></th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;">สัญลักษณ์การซื้อขาย</td> <td style="text-align: center;">YM</td> <td style="text-align: center;">US30</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">จำนวนสัญญาขั้นต่ำ</td> <td style="text-align: center;">1</td> <td style="text-align: center;">0.1</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">สกุลเงิน</td> <td style="text-align: center;">USD</td> <td style="text-align: center;">USD</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">ขนาดสัญญาการซื้อขายขั้นต่ำ</td> <td style="text-align: center;">$5 &times; Index Value</td> <td style="text-align: center;">0.1 &times; 100,000 &times; Index Value</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">ข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ</td> <td style="text-align: center;">$924</td> <td style="text-align: center;">$34</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">เลเวอเรจ</td> <td style="text-align: center;">1:50</td> <td style="text-align: center;">1:200</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">ชั่วโมงการซื้อขาย</td> <td style="text-align: center;">04:00 - 05:00</td> <td style="text-align: center;">04:00 - 05:00</td> </tr> </tbody> </table> <h3><br /> 2.1 ขนาดสัญญาขั้นต่ำ</h3> <p>สัญญาขั้นต่ำของ Dow Jones Futures คือ 1 สัญญา ในขณะที่ US30 อยู่ที่ 0.1 ล็อต ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์ CFD สามารถให้มาร์จิ้นที่ต้องการต่ำกว่าได้</p> <h3><br /> 2.2 ข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ</h3> <p>Margin ขั้นต่ำที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ทั้งสองนั้นแตกต่างกันไป แต่ดังที่คุณเห็นในตารางว่า Margin ขั้นต่ำของ CFD น้อยกว่า Dow Jones สูตรจะแสดงให้คุณเห็นการคำนวน margin ของ CFD ซึ่งช่วยอธิบาย่าทำไม Margin ขั้นต่ำน้อยกว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ &nbsp;<br /> <img alt="สูตรคำนวณมาร์จิ้น US30" src="/getmedia/6fee80f1-1e21-4296-9808-1426a8ff27e2/us30-margin-calculation-formula.png" title="สูตรคำนวณมาร์จิ้น US30" /> &nbsp;<br /> ดังที่คุณเห็นจากสูตรและตาราง CFD สามารถให้ขนาดสัญญาแก่คุณได้ 0.1 ในขณะที่อนุพันธ์เช่น Dow Jones Future คงที่ที่ 1 &nbsp;<br /> <br /> ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือเลเวอเรจ ยิ่งคุณมีมาร์จิ้นขั้นต่ำที่ต้องการน้อยลง โดยปกติเลเวอเรจของ Dow Jones Future จะอยู่ที่ประมาณ 1:50 ในขณะที่ US30 CFD อยู่ที่ประมาณ 1:200 &nbsp;<br /> <br /> ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ซื้อขาย Dow Jones Future (YM) ขนาดสัญญา 1 ขนาดด้วยเลเวอเรจประมาณ 1:50 สมมติว่า Dow Jones ซื้อขายที่ 10,000 มาร์จิ้นขั้นต้นที่จำเป็นสำหรับ E-Mini Future จะเป็นเช่นไร &nbsp;<br /> <img alt="การคำนวณมาร์จินของ E-mini ดาวโจนส์" class="article-image" src="/getmedia/e6970dcd-18e1-40ac-ae1b-98f96edd8d29/e-mini-dow-jones-margin-calculation.png" title="การคำนวณมาร์จินของ E-mini ดาวโจนส์" width="100%" />ในขณะที่เทรดเดอร์รายอื่นกำลังซื้อขาย US30 ในขนาดสัญญา 1 ล็อต โดยมีเลเวอเรจประมาณ 1:200 มาร์จิ้นขั้นต้นที่ต้องการของผู้ซื้อขายรายนี้คือ&nbsp;&nbsp;</p> <p><img alt="การคำนวณมาร์จิน US30" class="article-image" src="/getmedia/5b7ae077-4a8d-4d48-b504-41661b724ca4/us30-margin-calculation.png" title="การคำนวณมาร์จิน US30" width="100%" />&nbsp;&nbsp;<br /> ด้วย CFD US30 ที่ต้องการมาร์จิ้นที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures US30 จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเทรดในหุ้น 30 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา หรือจัดการพอร์ตหุ้นหุ้นด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่า &nbsp;</p> <h3><br /> 2.3 ข้ชั่วโมงการซื้อขาย</h3> <p>US30 เปิดเวลา 5:00 น. (UTC+7) และปิดเวลา 4:00 น. (UTC+7) ของวันถัดไป ในขณะที่ Dow Jones Future สามารถซื้อขายได้ในช่วง Extended Hour แต่ US30 ไม่สามารถซื้อขายได้ในขณะนั้น<br /> &nbsp;</p> <h2 id="วิธีการซื้อขาย US30">3. วิธีการซื้อขาย US30</h2> <p>การซื้อขาย US30 อย่างประสบความสำเร็จ เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายซึ่งรวมการวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคเข้าด้วยกัน เพื่อให้พวกเขามีความได้เปรียบในตลาด &nbsp;<br /> <br /> เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ตัวบ่งชี้การเคลื่อนไหวของราคา เช่น ระดับแนวรับและแนวต้าน เส้นแนวโน้ม และรูปแบบแท่งเทียน นอกจากนี้ เทรดเดอร์มักจะใช้อินดิเคเตอร์ เช่น Moving Average Convergence Divergence (MACD), Relative Strength Index (RSI), Commodity Channel Index (CCI), Stochastics และ Bollinger Bands เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัด ซึ่งเทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจเพื่อปรับแต่ง และ นำไปใช้กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ &nbsp;<br /> <br /> วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัด ซึ่งเทรดเดอร์ต้องสำรวจและทำความเข้าใจเพื่อปรับแต่งกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ &nbsp;<br /> <br /> ในทางกลับกัน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการซื้อขาย US30 สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลาย รวมถึงรายงานของรัฐบาล เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ตลอดจนการดำเนินการวิเคราะห์ภาคส่วนและหุ้นรายตัวด้วยการนำข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีขึ้น และทำการตัดสินใจซื้อขายโดยมีข้อมูลมากขึ้น &nbsp;</p> <h2 id="จะเทรด US30 บน MT4 และ MT5 ได้อย่างไร?"><br /> 4. จะเทรด US30 บน MT4 และ MT5 ได้อย่างไร?</h2> <p>US30 CFD มีให้บริการทั้งบน MT4 (Meta trader4) และ MT5 (Meta trader 5) เป็นแอปพลิเคชันเดสก์ท็อป หากโบรกเกอร์เป็นผู้จัดหาให้ หากผู้ใช้ไปที่ &ldquo;View&rdquo; และพบแท็บ &ldquo;Symbol&rdquo; จะปรากฏขึ้น&nbsp;<br /> <br /> ภายในหน้าต่าง &ldquo;Symbol&rdquo; ให้ค้นหา US30 และเพิ่ม US30 ใน MT4 และ MT5 &nbsp;</p> <h3><br /> 4.1 MT4</h3> <p><strong>ขั้นตอนที่ 1:</strong> ใช้เมนู &ldquo;View&rdquo; และคลิกที่ &ldquo;Symbol&rdquo; เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <img alt="เมนูแบบเลื่อนลงใน MT4" class="article-image" src="/getmedia/829ac475-9c64-4f70-9e6a-6592590aad41/MT4-drop-down-menu.png" title="เมนูแบบเลื่อนลงใน MT4" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ขั้นตอนที่ 2:</strong> ใต้แท็บ Indices ให้เปิดแท็บ เลือก US30 แล้วคลิก Show&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <img alt="ดัชนี US30 ใน MT4" src="/getmedia/2579d913-1e78-485a-b212-bee683022ee6/MT4-indices-us30.png" title="ดัชนี US30 ใน MT4" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ขั้นตอนที่ 3:</strong> จากนั้นเพิ่ม US30 ลงในหน้าจอ&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <img alt="เพิ่ม US 30 ใน MT4" class="article-image" src="/getmedia/5742803b-dd16-4b37-84a8-ec9e87a9f7d7/MT4-add-us30.png" title="เพิ่ม US 30 ใน MT4" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3><br /> 4.2 MT5</h3> <p>กระบวนการเพิ่มสัญลักษณ์ให้กับ Meta Trader 5 นั้นเหมือนกับ MetaTrader4 &nbsp;<br /> <br /> <img alt="ดัชนี US30 ใน MT5" src="/getmedia/d93b4479-faee-4dcd-bbec-98ab5886b623/MT5-indices-us30.png" title="ดัชนี US30 ใน MT5" width="100%" />&nbsp;</p> เมื่อเพิ่มกราฟลงใน Meta Trader 5 จะอยู่ภายใต้แทบ File&nbsp;<br /> &nbsp; <h2 id="โบรกเกอร์ที่รองรับ US30">5. โบรกเกอร์ที่รองรับ US30</h2> <p>ThinkMarkets เมื่อทียบกับโบรกเกอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันThinkMarkets มีคุณสมบัติที่ครอบคลุมและถูกออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลายของนักเทรด ThinkMarkets จะให้ความได้เปรียบในการเทรดในตลาดทางการเงินให้แก่นักเทรด &nbsp;<br /> <br /> หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของ ThinkMarkets คือความเรียบง่ายในการซื้อขายดัชนี US30 ซึ่งเป็นตัวเลือกยอดนิยมในหมู่เทรดเดอร์ที่ติดตามหาโอกาสในตลาดหุ้นสหรัฐฯ &nbsp;<br /> <br /> ThinkMarkets สามารถให้บริการเทรดเดอร์ด้วยข้อกำหนดมาร์จิ้นต่ำ สเปรดขั้นต่ำ และค่าคอมมิชชั่นต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่าเทรดเดอร์สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสูงที่สุด&nbsp;<br /> <br /> นอกจากนี้ ThinkMarkets ยังเสนอเลเวอเรจสูงถึง 200:1 และ ขนาดล็อตขั้นต่ำ 0.01 Lot สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ ช่วยให้พวกเขาสามารถขยายทุนการซื้อขายและใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาด ตัวเลือกเลเวอเรจที่สูงนี้ช่วยให้เทรดเดอร์มีความยืดหยุ่นในการใช้กลยุทธ์การซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็บริหารความเสี่ยงอย่างมีความรับผิดชอบ &nbsp;<br /> <br /> นอกจากนี้ ThinkMarkets ยังมีแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ล้ำสมัยมากมายให้เลือกแก่เทรดเดอร์ นอกเหนือจากแพลตฟอร์ม Meta Trader 4 และ Meta Trader 5 ที่มีชื่อเสียงแล้วยังนำเสนอแพลตฟอร์ม ThinkTrader ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ThinkMarkets &nbsp;<br /> <br /> ThinkTrader โดดเด่นด้วยการประสานงานอย่างราบรื่นกับ TradingView ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการสร้างกราฟและการวิเคราะห์ชั้นนำ สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการตรวจสอบกราฟของ US30 หรือ DJ30 ใน TradingView คุณสามารถค้นหาได้ผ่านทาง ThinkTrader เช่นกัน &nbsp;<br /> <br /> การประสานงานระหว่าง ThinkMarkets และ TradingView นี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงเครื่องมือสร้างกราฟขั้นสูง อินดิเคเตอร์ และข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ได้โดยตรงภายในแพลตฟอร์ม ThinkTrader ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเทรดและกระบวนการตัดสินใจของเทรดเดอร์</p> <br /> &nbsp;

7 min readทั้งหมด
ดาวโจนส์คืออะไร? ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีและวิธีการลงทุนใน DJIA

ดาวโจนส์คืออะไร? ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีและวิธีการลงทุนใน DJIA

<p>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อดัชนีดาวโจนส์ ถือเป็นดัชนีที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และยังสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนมาตรฐานระยะยาวในการติดตามสภาพการเงินของบริษัทชั้นนำในสหรัฐอเมริกา<br /> &nbsp;<br /> <img alt="ดัชนีหุ้น 3 อันดับแรกของสหรัฐฯ" src="/getmedia/066d3b46-bc88-4d1e-b91f-03b86d499179/top-3-stock-index-in-us.webp" title="ดัชนีหุ้น 3 อันดับแรกของสหรัฐฯ" width="100%" /><br /> <br /> ในบทความนี้เราจะช่วยอธิบายดัชนีดาวน์โจนส์ให้พวกคุณเข้าใจ เราจะเริ่มจากการอธิบายว่าดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์คืออะไร? ตามด้วยส่วนประกอบของหุ้นที่อยู่ภายในดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> จากนั้นเราจะพูดถึงปัจจัยที่มีผลต่อความผันผวนของดัชนีดาวโจนส์และการนำไปใช้กับสถานการณ์จริง ในตอนท้ายเราจะจบบทความด้วยการแนะนำวิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;</p> <h2>1. ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์คืออะไร?</h2> <p>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) เป็นดัชนีชี้วัดที่ประกอบด้วยหุ้นบลูชิปขนาดใหญ่ 30 ตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและแนสแด็ก ถูกสร้างขึ้นโดย ชาร์ลส์ ดาว ในปี ค.ศ. 1896 ทำให้นี่เป็นหนึ่งในดัชนีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในสหรัฐอเมริกา จุดประสงค์ที่ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นมาก็คือใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในอดีต<br /> <br /> ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีอื่นในการติดตามสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการแสดงถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของ DJIA คือการเป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ<br /> <br /> หุ้นที่อยู่ใน DJIA จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในบทต่อไปเราจะอธิบายถึงวิธีการคัดเลือกหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ใน DJIA.</p> <p>&nbsp;</p> <h2>2. การคัดเลือกหุ้นของดัชนีดาวโจนส์</h2> <p>ดัชนีดาวโจนส์ไม่เหมือนกับดัชนีอื่นๆที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด &nbsp;แต่ DJIA เลือกหุ้นโดยคณะกรรมการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ S&amp;P Dow Jones Indices รวมถึงบรรณาธิการของ The Wall Street Journal<br /> &nbsp;<br /> กระบวนการในการคัดเลือกนี้จะมุ่งเน้นไปที่คุณภาพของบริษัท ความมีชื่อเสียงและความยั่งยืน มากกว่าขนาดของตลาดหรือเมตริกอื่นๆ</p> <h3>2.1 ข้อกำหนด</h3> <p>บริษัทที่รวมอยู่ใน DJIA โดยทั่วไปแล้วจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงและมีชื่อเสียงสูงหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ <strong>&#39;blue-chip&#39;&nbsp;</strong>ข้อพิจารณาที่สำคัญสำหรับการคัดเลือกคือ:</p> <h4>2.1.1 ชื่อเสียง</h4> <p>บริษัทต้องเป็นที่รู้จักดี มีชื่อเสียงที่มั่นคงและมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและตลาด&nbsp;</p> <h4>2.1.2 การเติบโตที่ยั่งยืน</h4> <p>มีประวัติการเติบโตที่ยั่งยืนและมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่มั่นคง แสดงถึงสุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอ</p> <h4>2.1.3&nbsp;การพิจารณาเป็นระยะ</h4> <p>บริษัทภายใน DJIA จะมีการพิจารณาเป็นระยะ แต่การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นบ่อยนักเพื่อรักษาความต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นเมื่อบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การควบรวมกิจการหรือความลำบากทางการเงิน&nbsp;</p> &nbsp; <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td> <p><strong><u>ข้อยกเว้น</u></strong><br /> ดัชนีดาวโจนส์จะไม่รวมบริษัทจากภาคการขนส่งและสาธารณูปโภคเนื่องจากมีดัชนีดาวโจนส์อื่นๆ ที่ครอบคลุมอยู่แล้ว (เช่น ดัชนีขนส่งดาวโจนส์และดัชนียูทิลิตี้ดาวโจนส์)</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p>&nbsp;</p> <h3>2.2 การให้น้ำหนักของแต่ละภาคส่วนและหุ้นในดัชนีดาวโจนส์&nbsp;</h3> &nbsp; <p>DJIA เป็นดัชนีที่มีการให้น้ำหนักตามราคาหุ้น ซึ่งหมายความว่าหุ้นแต่ละตัวมีส่วนในการเคลื่อนไหวของดัชนีตามราคาหุ้นต่อหุ้นของมันเอง มากกว่าการให้น้ำหนักมูลค่าตลาดรวม และนี่คือตัวอย่างว่ามันมีการคำนวณอย่างไร:<br /> &nbsp;<br /> <b>สูตร</b>: DJIA คำนวณโดยการรวมราคาหุ้นของบริษัททั้ง 30 หุ้นแล้วหารด้วยตัวหารที่เรียกว่า &#39;Dow Divisor&#39;&nbsp;</p> <br /> <img alt="การคำนวณและการถ่วงน้ำหนักของ DJIA" src="/getmedia/a9084b22-1e34-4611-a2c8-f637b0f61952/DJIA-calculation-and-weighting.webp" title="การคำนวณและการถ่วงน้ำหนักของ DJIA" width="90%" /> <p><br /> Dow Divisor จะมีการปรับเป็นระยะสำหรับการแยกหุ้น การแยกย่อย หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ เพื่อให้เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของ DJIA อย่างไม่ถูกต้อง น้ำหนักของแต่ละภาคส่วนในดัชนีดาวโจนส์ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2024 มีดังนี้:</p> &nbsp; <style type="text/css">thead { background-color: #3e4a5a; } thead tr th { color: white; } .header-row { background-color: #3e4a5a; } .header-row th { color: white; } </style> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1"> <thead> <tr> <th><strong>Sectors</strong></th> <th><strong>บริษัทที่เกี่ยวข้อง</strong></th> <th><strong>น้ำหนักรวม&nbsp;</strong></th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td>อุตสาหกรรม</td> <td>Boeing, 3M, Honeywell, Caterpillar</td> <td>13.69%</td> </tr> <tr> <td>การเงิน</td> <td>American Express, Goldman Sachs, JPMorgan Chase, Visa, Travelers</td> <td>21.70%</td> </tr> <tr> <td>สินค้าฟุ่มเฟือย<i> </i></td> <td>Disney, Nike, McDonald, Home Depot, Amazon</td> <td>17.70%</td> </tr> <tr> <td>เทคโนโลยีสารสนเทศ</td> <td>Apple, Cisco, Microsoft, Salesforce, Intel</td> <td>19.53%</td> </tr> <tr> <td>สุขภาพ</td> <td>Amgen, UnitedHealth Group, Johnson &amp; Johnson, Merck</td> <td>18.47%</td> </tr> <tr> <td>สินค้าคงทน</td> <td>Coca-Cola, Procter &amp; Gamble, Walmart</td> <td>4.71%</td> </tr> <tr> <td>พลังงาน</td> <td>Chevron</td> <td>2.59%</td> </tr> <tr> <td>วัสดุ</td> <td>Dow</td> <td>0.94%</td> </tr> <tr> <td>บริการสื่อสาร</td> <td>Verizon</td> <td>0.67%</td> </tr> </tbody> </table> <p><br /> การให้น้ำหนักของแต่ละภาคส่วนสามารถส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดาวโจนส์ ความผันผวนของดาวโจนส์มักเกิดจากปัจจัยจากภาคส่วนที่มีน้ำหนักมากกว่า<br /> &nbsp;</p> <h2>3. ปัจจัยที่มีผลต่อความผันผวนของดาวโจนส์</h2> <p>การเข้าใจ<strong>ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA)</strong> เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน<br /> &nbsp;<br /> ปัจจัยต่างๆ เช่น ตัวชี้วัดเศรษฐกิจ การตัดสินใจของรัฐบาล เหตุการณ์ทั่วโลก ผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และค่าเงิน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของ DJIA<br /> &nbsp;<br /> <img alt="ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีดาวโจนส์" src="/getmedia/d6f9cede-e9f2-45db-b506-65292b085612/factors-affecting-the-dow-jones-index.webp" title="ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีดาวโจนส์" width="100%" /><br /> &nbsp;</p> <h3>3.1 ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ</h3> <p><strong>ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ </strong>คือข้อมูลที่จะประกาศออกมาในช่วงเวลาที่กำหนดโดยหน่วยงานที่แสดงถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้นี่เป็นส่วนสำคัญที่สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน<br /> &nbsp;<br /> ดังนั้นเราจึงควรควรติดตามข้อมูลที่สำคัญอย่าใกล้ชิด เช่น การเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน และข้อมูลเงินเฟ้อ CPI<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น อัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงกว่าคาดมักจะเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มสูงขึ้นของราคาหุ้นเนื่องจากสัญญาณของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานสามารถส่งผลตรงกันข้าม มันแสดงให้เห็นถึงถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและกระตุ้นให้นักลงทุนขายหุ้นออกไป</p> &nbsp; <h3>3.2 นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย</h3> <p>นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ <em>(FED: Federal Reserve)</em> โดยเฉพาะ<strong>การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย</strong> สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อ DJIA<br /> &nbsp;<br /> เมื่อธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนในการกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้บริโภค ซึ่งสามารถชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดกำไรของบริษัท ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การลดอัตราดอกเบี้ยสามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ โดยทำให้ดอกเบี้ยในการกู้ยืมมีราคาถูกลง ซึ่งสามารถเพิ่มการใช้จ่ายและการลงทุนได้ ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากคาดว่าผลกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น<br /> &nbsp;<br /> ดังนั้น การทำความเข้าใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และผลกระทบของนโยบายนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการคาดการณ์แนวโน้มตลาด</p> &nbsp; <h3>3.3 เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์</h3> <p>เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เช่น <strong>การเลือกตั้ง สงคราม และข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ</strong>สามารถทำให้ดัชนีดาวโจนส์ผันผวนได้อย่างมีนัยสำคัญ<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น ความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือความขัดแย้งสามารถนำไปสู่ความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ทำให้ราคาหุ้นลดลงเนื่องจากนักลงทุนจะหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า สงครามการค้าและภาษีศุลกากรสามารถส่งผลลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่มีการค้าระหว่างประเทศมาก ซึ่งนำไปสู่การลดลงของราคาหุ้น<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การพัฒนาเชิงบวกทางภูมิรัฐศาสตร์ <strong>เช่น ข้อตกลงสันติภาพหรือข้อตกลงการค้าที่เป็นผลดี </strong>สามารถเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามเหตุการณ์ทางการเมืองระดับโลกเพื่อคาดการณ์และตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดที่อาจเกิดขึ้น</p> &nbsp; <h3>3.4 ผลประกอบการ การหมุนเวียน และ แนวโน้มตลาดของภาคธุรกิจ</h3> <p>ภาคธุรกิจต่างๆ มีลักษณะเฉพาะในธุรกิจของตัวเองและสามารถมีผลประกอบการที่แตกต่างกันไปตลอดปี ซึ่งนำไปสู่การหมุนเวียนและแนวโน้มของตลาดซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น ในช่วงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ภาคสินค้าฟุ่มเฟือยและเทคโนโลยีมักมีผลประกอบการที่ดีเนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและนวัตกรรม ในทางกลับกัน ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ภาคป้องกันเช่นสาธารณูปโภคและการดูแลสุขภาพมักมีผลประกอบการที่ดีกว่าเนื่องจากเป็นบริการที่จำเป็น<br /> &nbsp;<br /> การหมุนเวียนของภาคธุรกิจเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายการลงทุนจากภาคหนึ่งไปยังอีกภาคหนึ่งตามแนวโน้มผลประกอบการที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อ DJIA การติดตามผลประกอบการของภาคธุรกิจและการเข้าใจวัฏจักรของตลาดสามารถช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <h3><br /> 3.5 ความเชื่อมั่นของตลาด</h3> <p>ความเชื่อมั่นของตลาด คือความรู้สึกโดยรวมของนักลงทุนที่มีต่อสภาวะตลาด มีบทบาทสำคัญในการผันผวนของดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งสามารถวัดได้ผ่านดัชนี VIX<br /> &nbsp;<br /> ความเชื่อมั่นเชิงบวกมักถูกขับเคลื่อนด้วยข่าวดีหรือข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถเพิ่มกิจกรรมการซื้อและทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น ในทางกลับกัน ความเชื่อมั่นที่ลดลงที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือรายงานผลประกอบการที่ไม่ดีของบริษัทสามารถส่งผลให้เกิดแรงเทขายและทำให้ราคาหุ้นลดลง<br /> &nbsp;<br /> ปัจจัยอื่นๆ เช่นรายงานของสื่อ ความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ หรือแม้แต่แนวโน้มในโซเชียลมีเดียยังสามารถมีผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด การเข้าใจความเชื่อมั่นของตลาดสามารถช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดและปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์</p> &nbsp; <h3>3.6 อัตราแลกเปลี่ยน</h3> <p><strong>อัตราแลกเปลี่ยนของดอลลาร์สหรัฐฯ</strong> เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อดัชนีดาวโจนส์ มูลค่าของดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนในการส่งออกของสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้นและไม่สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆได้ ซึ่งอาจทำให้กำไรของบริษัทข้ามชาติที่รวมอยู่ใน DJIA ลดลง ปัจจัยนี้สามารถนำไปสู่การลดลงของราคาหุ้นและส่งผลต่อการลดค่าลงของดัชนี<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจะสามารถกระตุ้นการส่งออก โดยทำให้ต้นทุนมีราคาถูกลงและสามรถแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มกำไรของบริษัทและทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มของค่าเงินและเข้าใจผลกระทบต่อตลาดเพื่อทำการตัดสินใจลงทุน</p> <h2>4. ข้อมูลย้อนหลังของดาวโจนส์</h2> <p>ดัชนีดาวโจนส์ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากแผนภูมิด้านล่าง เราจะเห็นได้ว่า Dow Jones มีการยกตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 หลังจากเกิด <em><strong>Financial Crysis</strong></em> และแตะระดับ 40,000 ในขณะนี้ <em>(</em><em>2024)</em><br /> &nbsp;<br /> <img alt="แผนภูมิประวัติศาสตร์ดาวโจนส์" src="/getmedia/e9080b4e-36ba-4ba3-98cb-92eff32d0609/dow-jones-historical-chart.webp" title="แผนภูมิประวัติศาสตร์ดาวโจนส์" width="100%" /><br /> &nbsp;<br /> ข้อมูลต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นกับดาวโจนส์:<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>17 กันยายน 2001</strong></li> </ul> <p>การร่วงลงของดัชนีในหนึ่งวันซึ่งมากเป็นอันดับสี่และเยอะที่สุดในช่วงเวลานั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันแรกของการซื้อขายหลังจากเหตุการณ์โจมตี 9/11 ในนิวยอร์กซิตี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 684.81 จุดหรือประมาณ 7.1% อย่างไรก็ตาม เราสามารถสังเกตได้ว่าดัชนีได้ลดลงก่อนวันที่ 11 กันยายน มากกว่า 1,000 จุดระหว่างวันที่ 2 มกราคม ถึง 10 กันยายน DJIA เริ่มฟื้นตัวหลังจากเหตุการณ์โจมตีได้ทั้งหมด และกลับมาปิดเหนือ 10,000 ในปีนั้น<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>25</strong><strong> มกราคม 2017</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์ปิดเหนือ 20,000 จุดเป็นครั้งแรก<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>มีนาคม 2020</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์พังทลายด้วยการลดลงที่ทำลายสถิติสองวันติดต่อกันท่ามกลางการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์ลดลงต่ำกว่า 20,000 และเป็นการลดลง 3,000 จุดในหนึ่งวัน มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงระหว่างระดับ 2,000 และ 1,500 จุดอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายดัชนีดาวโจนส์เข้าสู่ตลาดหมีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2020 เป็นการสิ้นสุดตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>24</strong><strong> พฤศจิกายน 2020</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์ทะลุระดับ 30,000 เป็นครั้งแรก โดยปิดที่ 30,045.84<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>16</strong><strong> พฤษภาคม 2024</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์ทะลุ 40,000 เป็นครั้งแรกและทำระดับสูงสุดเป็นประวัติกาลที่ 40,051.05 ในระหว่างการซื้อขายภายในวัน</p> <p><br /> มาจนถึงตอนนี้ คุณอาจจะรู้สึกว่า กราฟราคาที่เป็นขาขึ้นอย่างแข็งรงของดัชนีดาวโจนส์ ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เย้ายวนใจ แต่คำถามคือ จะลงทุนได้ที่ไหน และ อย่างไร? ไม่ต้องห่วงในบทต่อไปเราจะมาชี้แนะเส้นทางสายนี้ให้กับคุณเอง</p> <p>&nbsp;</p> <h2>5. วิธีการลงทุนในดาวโจนส์</h2> <p>แม้ว่าดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์จะไม่สามารถลงทุนได้โดยตรงเพราะมันเป็นเพียงดัชนีที่ประกอบและประเมิณค่าด้วยหุ้นบลูชิป แต่การลงทุนในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) สามารถทำได้ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ<br /> &nbsp;<br /> ถ้าพูดถึงในฐานะดัชนีแล้ว ดาวโจนส์ถือเป็นพื้นฐานสำหรับผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ต่างๆ ที่นำเสนอวิธีการที่หลากหลาย ในการเข้าถึงผลการดำเนินงานของดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> การเข้าใจผลิตภัณฑ์เหล่านี้และคุณสมบัติเฉพาะของมันสามารถช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างมีประสิทธืภาพผ่านการใช้ข้อมูล<br /> &nbsp;<br /> ในส่วนนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงภาพรวมของวิธีการลงทุนหลักๆสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ETFs, ฟิวเจอร์ส, CFDs, ออปชั่น &amp; วอแรนท์ และหุ้นที่เป็นส่วนประกอบภายในดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> <img alt="วิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์" src="/getmedia/15b459f2-2d86-4f5c-8582-9b0938e6a431/ways-to-invest-in-dow-jones-index.webp" title="วิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์" width="100%" /><br /> &nbsp;</p> <h3>5.1 กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs)</h3> <p><strong>กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs)</strong> เป็นวิธีการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนและดทรดเดอร์ในการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> ETFs เป็นกองทุนลงทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ คล้ายกับหุ้น โดยพวกเขามีเป้าหมายในการจำลองผลการดำเนินงานของดัชนีเฉพาะ เช่น DJIA<br /> &nbsp;<br /> ETFs สามารถทำให้นักลงทุนเข้าถึงบริษัททั้งหมดภายในดาวโจนส์ และลดความเสี่ยงกับการลงทุนในหุ้นเพีบงตัวเดียว ตัวอย่างเช่น SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust (DIA) ถือหุ้นของบริษัททั้ง 30 ตัวใน DJIA ทำให้พอร์ตการลงทุนมีการลงทุนที่หลากหลายซึ่งลดความเสี่ยงของการลงทุนบริษัทเดียว<br /> &nbsp;<br /> ความยืดหยุ่นและสะดวกของ ETFs ช่วยให้สามารถซื้อและขายในราคาตลาดได้ตลอดวันซื้อขาย DIA ตัวอย่างเช่น มีการซื้อขายด้วยสภาพคล่องที่สูง ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าสามารถซื้อเข้าและขายออกได้ง่ายโดยไม่มีการคลาดเคลื่อนราคาที่มากจนเกินไป<br /> &nbsp;<br /> โดยทั่วไป ETFs มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวม DIA ตัวอย่างเช่น มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.16% ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนที่มีการจัดการเชิงรุก</p> &nbsp; <h3>5.2 สัญญาฟิวเจอร์ส</h3> <p><strong>สัญญาฟิวเจอร์ส</strong>เป็นข้อตกลงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาและวันที่กำหนดในอนาคต สัญญาฟิวเจอร์สดาวโจนส์มีอยู่หลากหลายขนาด เช่น E-Mini และ Micro E-Mini</p> <h4>5.2.1 E-Mini ดาวโจนส์</h4> <p>E-Mini ดาวโจนส์&nbsp;เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาฟิวเจอร์สดาวโจนส์ทั้งสัญญา ทำให้มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยแต่ละสัญญาของ E-Mini จะมีค่าเป็นห้าเท่าของดัชนีดาวโจนส์<br /> <br /> ในโลกของการเก็งกำไรเราเรียกสิ่งนี้ว่าเลเวอเรจ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนควบคุมสัญญาซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนจำนวนเล็กน้อย สิ่งนี้สามารถเพิ่มโอกาสทั้งในด้านของ<strong>การทำกำไรและการขาดทุน</strong> เลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่สามารถเพิ่มผลกำไรได้อย่างมาก แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงมากขึ้นด้วยเช่นกัน</p> <h4>5.2.2 Micro E-Mini ดาวโจนส์</h4> <p>จะมีขนาดเล็กกว่าสัญญา E-Mini &nbsp;โดยสัญญา Micro E-Mini เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงการเก็งกำไรในดัชนีดาวโจนส์ด้วยการใช้เงินทุนที่ต่ำ แต่ละสัญญาของ Micro E-Mini จะมีค่าเป็นสิบเท่า ของสัญญา E-Mini ทั่วไป</p> <p><br /> นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้น</p> &nbsp; <h3>5.3 สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs)</h3> <p><strong>สัญญาซื้อขายส่วนต่าง</strong> (CFDs: Contract For Difference) เป็นผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่อนุญาตให้นักลงทุนและเทรดเดอร์คาดเดาการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ เช่น ดาวโจนส์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น</p> &nbsp; <style type="text/css">thead { background-color: #3e4a5a; } thead tr th { color: white; } .header-row { background-color: #3e4a5a; } .header-row th { color: white; } </style> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1"> <thead> <tr> <th colspan="2"><strong>ข้อดีของ CFDs</strong></th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td><b>สามารถเข้าถึงได้ง่าย</b></td> <td>CFDs มีการเข้าถึงที่ง่ายกว่าสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากสามารถซื้อขายได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เทรดเดอร์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ง่ายและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ<br /> <br /> โดยทั่วไป CFDs มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการซื้อขายแบบทั่วไป ทำให้ดึงดูดนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่คำนึงถึงเรื่องของการเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย</td> </tr> <tr> <td><b>เลเวอเรจ</b><br /> &nbsp;</td> <td>CFDs มักให้เลเวอเรจที่สูง ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนที่น้อยลง แต่สิ่งนี้สามารถเพิ่มทั้งโอกาสในการทำกำไรและขาดทุน</td> </tr> <tr> <td><b>ความยืดหยุ่น</b></td> <td>CFDs สามารถส่งคำสั่งได้ทั้งการซื้อ (long) และ ขาย (short) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจากตลาดได้ทั้งขาขึ้นหรือลง ความยืดหยุ่นนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมากในตลาดที่มีความผันผวนที่สูง</td> </tr> </tbody> </table> <h3><br /> 5.4&nbsp;ออปชั่นและวอแรนท์</h3> <p><strong>ออปชั่นและวอแรนท์</strong>เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้สิทธิ์แก่นักลงทุนโดยไม่มีข้อกำหนดในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดก่อนวันที่กำหนด</p> <h4>5.4.1 ออปชั่นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท</h4> <ul> <li>Call Options: ออปชั่นนี้ให้ผู้ถือสิทธิ์สามารถซื้อดัชนีดาวโจนส์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ช่วยให้นักลงทุนทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดขาขึ้น ถือเป็นวิธีการเก็งกำไรของตลาดโดยไม่ต้องลงทุนมูลในค่าเต็มของดัชนี</li> <li>Put Options: ออปชั่นนี้ให้ผู้ถือสิทธิ์สามารถขายดาวโจนส์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่ตลาดอยู่ในสภาวะตกต่ำ เครื่องมือนี้มีค่ามากสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาตลาด</li> </ul> <h4>5.4.2 วอแรนท์</h4> <p>มีความคล้ายคลึงกับออปชั่น วอแรนท์เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ออกโดยบริษัทที่ให้ผู้ถือสิทธิ์สามารถซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่กำหนดก่อนวันหมดอายุที่กำหนดไว้ วอแรนท์มักมีระยะเวลาหมดอายุที่ยาวนานกว่าออปชั่นหุ้น</p> <h3><br /> 5.5 การลงทุนในหุ้นส่วนประกอบของดาวโจนส์</h3> <p>เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเข้าถึงดัชนีดาวโจนส์ด้วยการลงทุนโดยตรงในหุ้นส่วนประกอบของดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ซึ่งประกอบด้วยไปด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 30 บริษัทที่มีการซื้อขายสาธารณะในอุตสาหกรรมต่างๆ<br /> &nbsp;</p> <h2>6. สรุป</h2> <p><strong>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์</strong>เป็นดัชนีหุ้นของบริษัทบลูชิปขนาดใหญ่ 30 แห่งในสหรัฐฯ ที่เป็นที่รู้จักของตลาดหุ้นอเมริกัน<br /> <br /> ดัชนีนี้มีเพียง 30 บริษัทเท่านั้น และตัวดัชนีเองก็มีการให้น้ำหนักตามราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้สามารถสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำเสมอไป<br /> <br /> บริษัทใน DJIA ถูกคัดเลือกโดยคณะกรรมการและได้รับการปรับสมดุลเพื่อที่จะพยายามแสดงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งหมายความว่าบริษัทบางแห่งอาจถูกเพิ่มหรือถูกลบออกจากดัชนีดาวโจนส์เป็นระยะ ๆ โดยไม่มีวิธีในการคาดการณ์ว่าหุ้นใดจะถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อไร</p>

14 min readผู้เริ่มต้น

ดัชนี

ดาวโจนส์, S&P 500, และดัชนี FTSE Taiwan เป็นมาตรฐานที่สะท้อนถึงแนวโน้มโดยรวมของตลาดหุ้นในภูมิภาคหนึ่งๆ