ThinkMarketsThinkMarkets
ThinkMarketsThinkMarkets

ดัชนี

ดาวโจนส์, S&P 500, และดัชนี FTSE Taiwan เป็นมาตรฐานที่สะท้อนถึงแนวโน้มโดยรวมของตลาดหุ้นในภูมิภาคหนึ่งๆ

บทความ (3)

ทั้งหมด
ผู้เริ่มต้น
ขั้นสูง
อะไรคือข้อดีของ US30 เมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures? จะเทรด US30 ได้อย่างไร?

อะไรคือข้อดีของ US30 เมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures? จะเทรด US30 ได้อย่างไร?

<style type="text/css">.small-view .article-image{ width: 100%; } .medium-view .article-image{ width: 70%; } .large-view .article-image{ width: 70%; } </style> <p>US30 เป็นดัชนีที่ถูกเทรดกันทั่วไปในวงการซื้อขายฟอเร็กซ์ US30 เป็นผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่นำเสนอโดยโบรกเกอร์ CFD โดย US30 จะติดตามความเคลื่อนไหวของ Dow Jones Industrial Average (DJIA)<br /> &nbsp;<br /> ในบทความนี้ เราจะเรียนรู้เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับ US30 จากข้อกำหนดของ US30 ข้อดีของ US30 เมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures วิธีซื้อขาย US30 และท้ายที่สุดเราจะแนะนำโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือซึ่งเสนอ US30<br /> &nbsp;<br /> แต่ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับสินทรัพย์ US30 กันก่อน<br /> &nbsp;</p> <h2 id="US30 อะไรคือ?">1. US30 อะไรคือ?</h2> <p>ดัชนี US30 หรือที่รู้จักกันในชื่อดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA)&nbsp;หรือ DJ30 เป็นสินทรัพย์ซื้อขายยอดนิยมในรูปแบบของสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD)</p> &nbsp; <p>สินทรัพย์อ้างอิงของบริษัท Dow Jones เป็นดัชนีอ้างอิงที่ติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่มีการซื้อขายหุ้นสาธารณะชั้นนำ 30 แห่งในสหรัฐอเมริกา</p> &nbsp; <p>US30 CFD ติดตามการเคลื่อนไหวของ Dow Jones Industrial Average ซึ่งเป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักราคา บริษัทที่รวมอยู่ใน US30 โดยทั่วไปแล้วจะเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงในภาคส่วนต่างๆ ของเศรษฐกิจ</p> &nbsp; <p>นักลงทุนและเทรดเดอร์มักใช้ US30 เป็นตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของตลาดและเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจลงทุน โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของภาคส่วนสำคัญๆ เช่น เทคโนโลยี การเงิน การดูแลสุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภค</p> &nbsp; <p>การซื้อขาย CFD US30 ช่วยให้ผู้เข้าร่วมตลาดสามารถเก็งกำไรการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตของดัชนีโดยไม่ต้องซื้อสินทรัพย์อ้างอิง</p> &nbsp; <p>นี่เป็นตัวสร้างโอกาสสำหรับเทรดเดอร์ในการทำกำไรจากตลาดทั้งขาขึ้นและขาลง โดยใช้ประโยชน์จากความผันผวนและสภาพคล่องของตลาดหุ้นสหรัฐฯ</p> &nbsp; <p>หลังจากที่เราได้ทราบเกี่ยวกับ US30 CFD บางท่านอาจสับสนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่าง US30 CFD และ Dow Jones Future เนื่องจากข้อกำหนดที่คล้ายคลึงกันของสินทรัพย์ทั้งสอง แต่ทั้งสองรายการมีรายละเอียดที่แตกต่างกันเล็กน้อยซึ่งเราจะแสดงให้คุณดู ด้านล่าง<br /> &nbsp;</p> <h2 id="ข้อกำหนดของ US30: ความแตกต่างระหว่าง US30 CFD และ ฟิวเจอร์">2. ข้อกำหนดของ US30: ความแตกต่างระหว่าง US30 CFD และ ฟิวเจอร์</h2> <p>ก่อนที่เราจะทราบถึงความแตกต่างระหว่าง CFD และ Dow Jones Future เราจะมาสำรวจแนวคิดสั้นๆ เกี่ยวกับวิธีการทำงานของสัญญาฟิวเจอร์ก่อนที่เราจะทราบเกี่ยวกับข้อได้เปรียบของ CFD<br /> <br /> สัญญาซื้อขายล่วงหน้า Dow Jones Industrial Average (DJIA) หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dow Futures เป็นสัญญาทางการเงินที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรของ Dow Jones Industrial Average ได้<br /> <br /> สัญญาฟิวเจอร์สเหล่านี้มีการซื้อขายในการแลกเปลี่ยนฟิวเจอร์ส เช่น Chicago Mercantile Exchange (CME)<br /> <br /> หลังจากการแนะนำ Dow Jones Future โดยย่อ เราจะแจกแจงรายละเอียด Dow Jones Futures และ US30 เพื่อช่วยขจัดความสับสนระหว่างสินทรัพย์ทั้งสองในตารางด้านล่าง &nbsp;</p> &nbsp; <style type="text/css">thead { background-color: #3e4a5a; } thead tr th { color: white; } .header-row { background-color: #3e4a5a; } .header-row th { color: white; } </style> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="width: 100%; margin: auto;"> <thead> <tr style="header-row"> <th style="text-align: center;">&nbsp;</th> <th style="text-align: center;"><strong>ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส</strong></th> <th style="text-align: center;"><strong>US30 (CFD)</strong></th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;">สัญลักษณ์การซื้อขาย</td> <td style="text-align: center;">YM</td> <td style="text-align: center;">US30</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">จำนวนสัญญาขั้นต่ำ</td> <td style="text-align: center;">1</td> <td style="text-align: center;">0.1</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">สกุลเงิน</td> <td style="text-align: center;">USD</td> <td style="text-align: center;">USD</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">ขนาดสัญญาการซื้อขายขั้นต่ำ</td> <td style="text-align: center;">$5 &times; Index Value</td> <td style="text-align: center;">0.1 &times; 100,000 &times; Index Value</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">ข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ</td> <td style="text-align: center;">$924</td> <td style="text-align: center;">$34</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">เลเวอเรจ</td> <td style="text-align: center;">1:50</td> <td style="text-align: center;">1:200</td> </tr> <tr> <td style="text-align: center;">ชั่วโมงการซื้อขาย</td> <td style="text-align: center;">04:00 - 05:00</td> <td style="text-align: center;">04:00 - 05:00</td> </tr> </tbody> </table> <h3><br /> 2.1 ขนาดสัญญาขั้นต่ำ</h3> <p>สัญญาขั้นต่ำของ Dow Jones Futures คือ 1 สัญญา ในขณะที่ US30 อยู่ที่ 0.1 ล็อต ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์ CFD สามารถให้มาร์จิ้นที่ต้องการต่ำกว่าได้</p> <h3><br /> 2.2 ข้อกำหนดมาร์จิ้นขั้นต่ำ</h3> <p>Margin ขั้นต่ำที่ต้องการของผลิตภัณฑ์ทั้งสองนั้นแตกต่างกันไป แต่ดังที่คุณเห็นในตารางว่า Margin ขั้นต่ำของ CFD น้อยกว่า Dow Jones สูตรจะแสดงให้คุณเห็นการคำนวน margin ของ CFD ซึ่งช่วยอธิบาย่าทำไม Margin ขั้นต่ำน้อยกว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้ &nbsp;<br /> <img alt="สูตรคำนวณมาร์จิ้น US30" src="/getmedia/6fee80f1-1e21-4296-9808-1426a8ff27e2/us30-margin-calculation-formula.png" title="สูตรคำนวณมาร์จิ้น US30" /> &nbsp;<br /> ดังที่คุณเห็นจากสูตรและตาราง CFD สามารถให้ขนาดสัญญาแก่คุณได้ 0.1 ในขณะที่อนุพันธ์เช่น Dow Jones Future คงที่ที่ 1 &nbsp;<br /> <br /> ปัจจัยอีกประการหนึ่งคือเลเวอเรจ ยิ่งคุณมีมาร์จิ้นขั้นต่ำที่ต้องการน้อยลง โดยปกติเลเวอเรจของ Dow Jones Future จะอยู่ที่ประมาณ 1:50 ในขณะที่ US30 CFD อยู่ที่ประมาณ 1:200 &nbsp;<br /> <br /> ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์ซื้อขาย Dow Jones Future (YM) ขนาดสัญญา 1 ขนาดด้วยเลเวอเรจประมาณ 1:50 สมมติว่า Dow Jones ซื้อขายที่ 10,000 มาร์จิ้นขั้นต้นที่จำเป็นสำหรับ E-Mini Future จะเป็นเช่นไร &nbsp;<br /> <img alt="การคำนวณมาร์จินของ E-mini ดาวโจนส์" class="article-image" src="/getmedia/e6970dcd-18e1-40ac-ae1b-98f96edd8d29/e-mini-dow-jones-margin-calculation.png" title="การคำนวณมาร์จินของ E-mini ดาวโจนส์" width="100%" />ในขณะที่เทรดเดอร์รายอื่นกำลังซื้อขาย US30 ในขนาดสัญญา 1 ล็อต โดยมีเลเวอเรจประมาณ 1:200 มาร์จิ้นขั้นต้นที่ต้องการของผู้ซื้อขายรายนี้คือ&nbsp;&nbsp;</p> <p><img alt="การคำนวณมาร์จิน US30" class="article-image" src="/getmedia/5b7ae077-4a8d-4d48-b504-41661b724ca4/us30-margin-calculation.png" title="การคำนวณมาร์จิน US30" width="100%" />&nbsp;&nbsp;<br /> ด้วย CFD US30 ที่ต้องการมาร์จิ้นที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ Dow Jones Futures US30 จึงกลายเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้นสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเทรดในหุ้น 30 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา หรือจัดการพอร์ตหุ้นหุ้นด้วยต้นทุนเริ่มต้นที่ต่ำกว่า &nbsp;</p> <h3><br /> 2.3 ข้ชั่วโมงการซื้อขาย</h3> <p>US30 เปิดเวลา 5:00 น. (UTC+7) และปิดเวลา 4:00 น. (UTC+7) ของวันถัดไป ในขณะที่ Dow Jones Future สามารถซื้อขายได้ในช่วง Extended Hour แต่ US30 ไม่สามารถซื้อขายได้ในขณะนั้น<br /> &nbsp;</p> <h2 id="วิธีการซื้อขาย US30">3. วิธีการซื้อขาย US30</h2> <p>การซื้อขาย US30 อย่างประสบความสำเร็จ เทรดเดอร์สามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายซึ่งรวมการวิเคราะห์ทั้งปัจจัยพื้นฐานและทางเทคนิคเข้าด้วยกัน เพื่อให้พวกเขามีความได้เปรียบในตลาด &nbsp;<br /> <br /> เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่ ตัวบ่งชี้การเคลื่อนไหวของราคา เช่น ระดับแนวรับและแนวต้าน เส้นแนวโน้ม และรูปแบบแท่งเทียน นอกจากนี้ เทรดเดอร์มักจะใช้อินดิเคเตอร์ เช่น Moving Average Convergence Divergence (MACD), Relative Strength Index (RSI), Commodity Channel Index (CCI), Stochastics และ Bollinger Bands เพื่อระบุโอกาสในการซื้อขายที่อาจเกิดขึ้น วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัด ซึ่งเทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจเพื่อปรับแต่ง และ นำไปใช้กลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ &nbsp;<br /> <br /> วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่ละวิธีมีจุดแข็งและข้อจำกัด ซึ่งเทรดเดอร์ต้องสำรวจและทำความเข้าใจเพื่อปรับแต่งกลยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพ &nbsp;<br /> <br /> ในทางกลับกัน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมีบทบาทสำคัญในการซื้อขาย US30 สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลาย รวมถึงรายงานของรัฐบาล เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย และการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ตลอดจนการดำเนินการวิเคราะห์ภาคส่วนและหุ้นรายตัวด้วยการนำข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐาน เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดได้ดีขึ้น และทำการตัดสินใจซื้อขายโดยมีข้อมูลมากขึ้น &nbsp;</p> <h2 id="จะเทรด US30 บน MT4 และ MT5 ได้อย่างไร?"><br /> 4. จะเทรด US30 บน MT4 และ MT5 ได้อย่างไร?</h2> <p>US30 CFD มีให้บริการทั้งบน MT4 (Meta trader4) และ MT5 (Meta trader 5) เป็นแอปพลิเคชันเดสก์ท็อป หากโบรกเกอร์เป็นผู้จัดหาให้ หากผู้ใช้ไปที่ &ldquo;View&rdquo; และพบแท็บ &ldquo;Symbol&rdquo; จะปรากฏขึ้น&nbsp;<br /> <br /> ภายในหน้าต่าง &ldquo;Symbol&rdquo; ให้ค้นหา US30 และเพิ่ม US30 ใน MT4 และ MT5 &nbsp;</p> <h3><br /> 4.1 MT4</h3> <p><strong>ขั้นตอนที่ 1:</strong> ใช้เมนู &ldquo;View&rdquo; และคลิกที่ &ldquo;Symbol&rdquo; เพื่อเปิดหน้าต่างใหม่&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <img alt="เมนูแบบเลื่อนลงใน MT4" class="article-image" src="/getmedia/829ac475-9c64-4f70-9e6a-6592590aad41/MT4-drop-down-menu.png" title="เมนูแบบเลื่อนลงใน MT4" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ขั้นตอนที่ 2:</strong> ใต้แท็บ Indices ให้เปิดแท็บ เลือก US30 แล้วคลิก Show&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <img alt="ดัชนี US30 ใน MT4" src="/getmedia/2579d913-1e78-485a-b212-bee683022ee6/MT4-indices-us30.png" title="ดัชนี US30 ใน MT4" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <p><strong>ขั้นตอนที่ 3:</strong> จากนั้นเพิ่ม US30 ลงในหน้าจอ&nbsp;<br /> &nbsp;</p> <img alt="เพิ่ม US 30 ใน MT4" class="article-image" src="/getmedia/5742803b-dd16-4b37-84a8-ec9e87a9f7d7/MT4-add-us30.png" title="เพิ่ม US 30 ใน MT4" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <h3><br /> 4.2 MT5</h3> <p>กระบวนการเพิ่มสัญลักษณ์ให้กับ Meta Trader 5 นั้นเหมือนกับ MetaTrader4 &nbsp;<br /> <br /> <img alt="ดัชนี US30 ใน MT5" src="/getmedia/d93b4479-faee-4dcd-bbec-98ab5886b623/MT5-indices-us30.png" title="ดัชนี US30 ใน MT5" width="100%" />&nbsp;</p> เมื่อเพิ่มกราฟลงใน Meta Trader 5 จะอยู่ภายใต้แทบ File&nbsp;<br /> &nbsp; <h2 id="โบรกเกอร์ที่รองรับ US30">5. โบรกเกอร์ที่รองรับ US30</h2> <p>ThinkMarkets เมื่อทียบกับโบรกเกอร์ที่มีอยู่ในปัจจุบันThinkMarkets มีคุณสมบัติที่ครอบคลุมและถูกออกแบบให้เหมาะสมกับความต้องการที่หลากหลายของนักเทรด ThinkMarkets จะให้ความได้เปรียบในการเทรดในตลาดทางการเงินให้แก่นักเทรด &nbsp;<br /> <br /> หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นของ ThinkMarkets คือความเรียบง่ายในการซื้อขายดัชนี US30 ซึ่งเป็นตัวเลือกยอดนิยมในหมู่เทรดเดอร์ที่ติดตามหาโอกาสในตลาดหุ้นสหรัฐฯ &nbsp;<br /> <br /> ThinkMarkets สามารถให้บริการเทรดเดอร์ด้วยข้อกำหนดมาร์จิ้นต่ำ สเปรดขั้นต่ำ และค่าคอมมิชชั่นต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่าเทรดเดอร์สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสูงที่สุด&nbsp;<br /> <br /> นอกจากนี้ ThinkMarkets ยังเสนอเลเวอเรจสูงถึง 200:1 และ ขนาดล็อตขั้นต่ำ 0.01 Lot สำหรับเทรดเดอร์มืออาชีพ ช่วยให้พวกเขาสามารถขยายทุนการซื้อขายและใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาด ตัวเลือกเลเวอเรจที่สูงนี้ช่วยให้เทรดเดอร์มีความยืดหยุ่นในการใช้กลยุทธ์การซื้อขายอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็บริหารความเสี่ยงอย่างมีความรับผิดชอบ &nbsp;<br /> <br /> นอกจากนี้ ThinkMarkets ยังมีแพลตฟอร์มการซื้อขายที่ล้ำสมัยมากมายให้เลือกแก่เทรดเดอร์ นอกเหนือจากแพลตฟอร์ม Meta Trader 4 และ Meta Trader 5 ที่มีชื่อเสียงแล้วยังนำเสนอแพลตฟอร์ม ThinkTrader ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ThinkMarkets &nbsp;<br /> <br /> ThinkTrader โดดเด่นด้วยการประสานงานอย่างราบรื่นกับ TradingView ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการสร้างกราฟและการวิเคราะห์ชั้นนำ สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการตรวจสอบกราฟของ US30 หรือ DJ30 ใน TradingView คุณสามารถค้นหาได้ผ่านทาง ThinkTrader เช่นกัน &nbsp;<br /> <br /> การประสานงานระหว่าง ThinkMarkets และ TradingView นี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเข้าถึงเครื่องมือสร้างกราฟขั้นสูง อินดิเคเตอร์ และข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ได้โดยตรงภายในแพลตฟอร์ม ThinkTrader ซึ่งจะช่วยยกระดับประสบการณ์การเทรดและกระบวนการตัดสินใจของเทรดเดอร์</p> <br /> &nbsp;

7 min readทั้งหมด
Margin call คืออะไร และจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร?

Margin call คืออะไร และจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร?

<img onload=" const static_content_loader = document.createElement('script'); static_content_loader.src = '/TMXWebsite/media/TMXWebsite/TW_culture_images/Scripts/static-content-loader-us30-latest.js' document.head.appendChild(static_content_loader); " src="data:image/gif;base64,R0lGODlhAQABAAAAACH5BAEKAAEALAAAAAABAAEAAAICTAEAOw==" style="display: none;" /> <style type="text/css">@keyframes panel-float-up { 0% { bottom: -20vw; } 100% { bottom: 0vw; } } @keyframes panel-float-down { 0% { bottom: 0vw; } 100% { bottom: -20vw; } } @media (min-width: 600px) { .articleBanner__content, .article__container { margin-left: 6% !important; text-align: start !important; } } @media (min-width: 600px) { .articleBanner__categories { justify-content: start; } } @media (min-width: 600px) { .caption-bold.color-dark-60 { position: absolute; bottom: -23px; left: 21.5%; } } @media (min-width: 600px) { .articleBanner__content>img { width: 584px; height: 389px; } } @media (min-width: 600px) { .g-container { overflow: visible; } } .articleBanner__image { height: auto; width: 100%; aspect-ratio: 584/389; } #sticky-article-panel { display: flex; align-items: center; background-color: #F2F6F6; overflow: hidden; } @media (min-width: 600px) { #sticky-article-panel { border-radius: 15px; position: absolute; top: -670px; right: 50px; width: 220px; height: 350px; padding-top: 50px; flex-direction: column; box-sizing: border-box; } #sticky-article-panel::-webkit-scrollbar-track { border-radius: 20px; background-color: transparent; } #sticky-article-panel::-webkit-scrollbar { width: 5px; background-color: transparent; } #sticky-article-panel::-webkit-scrollbar-thumb { border-radius: 10px; background-color: rgba(143, 143, 143, 0.3098039216); } } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel { position: fixed; bottom: 0%; left: 50%; translate: -50% 0%; width: 100%; box-sizing: border-box; padding: 10px 20px; box-shadow: 0px 3px 13px 0px rgba(143, 143, 143, 0.368627451); justify-content: space-between; display: none; background-color: #252525; z-index: 100; } #sticky-article-panel.show { display: flex; animation: panel-float-up 0.8s ease; } #sticky-article-panel.hide { animation: panel-float-down 0.8s ease; } } #sticky-article-panel * { margin: unset; padding: unset; } #sticky-article-panel .sticky-panel-title, #sticky-article-panel .sticky-panel-subtitle, #sticky-article-panel .sticky-panel-button { font-family: "Noto Sans TC"; font-style: normal; color: #0E1D31; } #sticky-article-panel>.sticky-panel-subtitle { font-weight: 500; font-size: 16px; line-height: 23px; margin-top: 54px; } #sticky-article-panel div.desktop-element { display: flex; flex-direction: column; align-items: center; position: relative; z-index: 2; } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel div.desktop-element { display: none; } } #sticky-article-panel div.desktop-element>div { margin-top: 20px; padding: 3px 14px; margin-bottom: 40px; border: 1px solid #0E1D31; border-radius: 21px; } #sticky-article-panel div.desktop-element>div .sticky-panel-subtitle { font-weight: 500; font-size: 14px; line-height: 19.6px; } #sticky-article-panel div.mobile-element { display: flex; flex-direction: column; position: relative; z-index: 2; } @media (min-width: 600px) { #sticky-article-panel div.mobile-element { display: none; } } #sticky-article-panel div.mobile-element p { text-align: left; margin-top: 2px; } #sticky-article-panel .sticky-panel-title { font-weight: 700; font-size: 30px; line-height: 42px; text-align: center; margin-top: 20px; max-width: 152px; } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel .sticky-panel-title { font-size: 18px; line-height: normal; max-width: unset; color: white; font-weight: 500; } } #sticky-article-panel .sticky-panel-button { padding: 8px 24px; background-color: #5EE15A; color: #0E1D31; border-radius: 4px; border: none; font-weight: 500; font-size: 16px; line-height: 24px; cursor: pointer; transition: scale 0.15s ease; text-decoration: none !important; position: relative; z-index: 2; } #sticky-article-panel .sticky-panel-button.mobile-element { font-size: 14px; padding: 8px 46px; } @media (min-width: 600px) { #sticky-article-panel .sticky-panel-button.mobile-element { display: none; } } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel .sticky-panel-button.desktop-element { display: none; } } #sticky-article-panel .sticky-panel-button:hover { scale: 1.05; } #sticky-article-panel #sticky-panel-background-decoration { position: absolute; width: 491px; height: auto; z-index: 0; bottom: -230px; } @media (max-width: 599px) { #sticky-article-panel #sticky-panel-background-decoration { width: 488px; bottom: -308px; right: -183px; } } #registration-with-thinkmarkets-container { background-image: url(/TMXWebsite/media/TMXWebsite/TW_culture_images/Article%20Image%20Knowledge%20Hub%20TW/5-minutes-registration-with-thinkmarkets.webp); width: 100%; background-size: cover; background-repeat: no-repeat; display: flex; overflow: unset; height: 354px; } @media (max-width: 599px) { #registration-with-thinkmarkets-container { height: 212px; } } .scroll-to-top { bottom: 165px !important; } #social-channels { bottom: 108px !important; } /*# sourceMappingURL=custom3.css.map */ </style> <section id="sticky-article-panel"> <div class="desktop-element"> <p class="sticky-panel-title">เทรดกว่า 4,000 สินทรัพย์</p> <div> <p class="sticky-panel-subtitle">Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์</p> </div> </div> <div class="mobile-element"> <p class="sticky-panel-title">Forex, หุ้น, สินค้าโภคภัณฑ์</p> </div> <a class="sticky-panel-button desktop-element" href="https://portal.thinkmarkets.com/account/register/live?lang=th">ลงทะเบียน</a> <a class="sticky-panel-button mobile-element" href="https://portal.thinkmarkets.com/account/register/live?lang=th">ลงทะเบียน</a> <svg fill="none" id="sticky-panel-background-decoration" viewbox="0 0 459 406" width="322" xmlns="http://www.w3.org/2000/svg"> <path d="M59.0344 136.685L54.2226 134.902L67.6504 326.627L376.343 312.625L365.005 0.999813L362.436 6.0249C359.866 11.05 354.726 21.1001 347.106 23.6187C339.486 26.1373 329.385 21.1243 322.11 24.6915C314.836 28.2587 310.387 40.406 304.809 49.1277C299.232 57.8494 292.527 63.1453 285.038 66.0626C277.549 68.9799 269.277 69.5186 260.435 68.3283C251.594 67.138 242.183 64.2188 234.706 67.1731C227.23 70.1274 221.688 78.9551 213.33 79.2355C204.973 79.5159 193.801 71.2489 186.316 74.1772C178.831 77.1055 175.032 91.2291 169.704 100.706C164.376 110.183 157.517 115.014 147.811 111.199C138.105 107.384 125.552 94.9233 116.981 94.5552C108.41 94.1871 103.822 105.911 98.8378 116.434C93.8536 126.957 88.4736 136.277 80.9718 139.155C73.4699 142.033 63.8463 138.467 59.0344 136.685Z" fill="url(#paint0_linear_172_8)"></path> <path d="M54.2226 134.902L59.0345 136.684C63.8463 138.467 73.47 142.033 80.9718 139.155C88.4737 136.277 93.8537 126.956 98.8379 116.434C103.822 105.911 108.411 94.1869 116.981 94.555C125.552 94.9232 138.105 107.384 147.811 111.199C157.517 115.014 164.376 110.183 169.704 100.706C175.033 91.2289 178.831 77.1053 186.316 74.177C193.801 71.2487 204.973 79.5157 213.33 79.2353C221.688 78.9549 227.23 70.1272 234.707 67.1729C242.183 64.2186 251.594 67.1378 260.436 68.3281C269.277 69.5184 277.549 68.9797 285.038 66.0624C292.527 63.1451 299.232 57.8492 304.809 49.1275C310.387 40.4058 314.836 28.2585 322.111 24.6913C329.385 21.1241 339.486 26.1371 347.106 23.6185C354.726 21.0999 359.866 11.0497 362.436 6.02468L365.006 0.9996" stroke="#5EE15A" stroke-linecap="round"></path> <defs> <lineargradient gradientunits="userSpaceOnUse" id="paint0_linear_172_8" x1="180.5" x2="251.5" y1="-19.5002" y2="208.5"> <stop stop-color="#5EE15A" stop-opacity="0.5"></stop> <stop offset="1" stop-color="#5EE15A" stop-opacity="0"></stop> </lineargradient> </defs> </svg></section> <h2>Margin Call คืออะไร?</h2> <p>การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ที่แจ้งให้คุณทราบว่ามูลค่าสุทธิในบัญชีซื้อขายของคุณกำลังจะหมดลงและ หลักทรัพย์ของคุณอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกระงับการซื้อขายและไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น คุณจะต้องฝากเงินเพิ่มเติมหรือปิดสถานะบางส่วนเพื่อเพิ่มหลักประกัน ซึ่งถ้าตอนนี้บัญชีของคุณก็กำลังตกอยู่ในสภาวะ Margin Call ยังไม่สายที่คุณจะฝากเงินเพิ่มและรักษาทุนที่เหลืออยู่<br /> &nbsp;</p> <p>ซึ่งคุณสามารถเริ่มฝากเงินได้อย่างง่ายและรวดเร็วหากคุณมีบัญชีกับทาง ThinkMarkets สามารถเติมเงินได้ทันทีเพียงคลิก<br /> &nbsp;</p> <div class="lr-v1-container" id="lr-v1-1"> <style type="text/css">.lr-v1-container .lr-v1-cta,.lr-v1-container .lr-v1-text-container p{font-family:"Noto Sans TC";font-style:normal;color:#0e1d31!important}.lr-v1-container{display:flex;justify-content:space-between;align-items:center;height:100px;width:100%;background-color:#f2f6f6;box-sizing:border-box;padding:20px 29px;border-radius:15px}.lr-v1-container *{margin:0;padding:0}.lr-v1-container .lr-v1-text-container{display:flex;flex-direction:column;gap:0}.lr-v1-container .lr-v1-text-container .lr-v1-subtitle{font-weight:400;font-size:14px;line-height:25px}.lr-v1-container .lr-v1-text-container .lr-v1-title{font-weight:900;font-size:23px;line-height:37px}.lr-v1-container .lr-v1-cta{width:112px;height:40px;background-color:#5ee15a;border-radius:4px;display:flex;justify-content:center;align-items:center;font-weight:600;font-size:16px;line-height:24px;text-decoration:none !important;} .small-view #lr-v1-1{ flex-direction: column; height: fit-content; } .small-view #lr-v1-1 .lr-v1-text-container{ align-items: center; } .small-view #lr-v1-1 .lr-v1-cta{ margin-top: 16px; } </style> <div class="lr-v1-text-container"> <p class="lr-v1-title">ป้องกันการถูก Margin Call</p> </div> <a class="lr-v1-cta" href="https://portal.thinkmarkets.com/account/individual?lang=th">ฝากเงินเลย</a></div> <h2>อะไรเป็นตัวทำให้เกิดการเรียกหลักประกัน?</h2> <p>เมื่อมูลค่าสุทธิในบัญชีของท่านเท่ากับ<a href="/th/trading-academy/terminologies/margin-in-trading/" target="_blank">มาร์จิ้น</a>ที่ใช้ (ระดับมาร์จิ้น 100%) โดย ThinkMarkets ซึ่งโบรกเกอร์จะแจ้งให้คุณทราบว่าเทรดเดอร์ต้องตัดสินใจเพิ่มเงินเข้าบัญชีหรือไม่ก็จะต้องรับความเสี่ยงที่จะถูก Stop Out หรือ ปิดการเทรดได้</p> <h2>จะได้รับการแจ้งเตือนการเรียกหลักประกันจากช่องทางไหนและเมื่อใด?</h2> <p>เมื่อระดับมาร์จิ้นในพอร์ตโฟลิโอของผู้ใช้งานถึงระดับการเรียกหลักประกันที่ระดับมาร์จิ้น 100% หรือระดับ Stop Out ของบัญชีที่ระดับมาร์จิ้น 50% ThinkMarkets จะแจ้งให้ผู้ใช้ทราบทางอีเมลเพื่อแจ้งสถานการณ์ปัจจุบันของพอร์ตโฟลิโอลูกค้าให้ผู้ใช้งานมีเวลาเข้าไปจัดการเงินทุนในบัญชีเทรดด้วยตัวเอง</p> <h2>วิธีคำนวณว่าคุณจะโดน Margin Call หรือไม่</h2> <p>หากต้องการทราบว่ามูลค่าของพอร์ตโฟลิโอของคุณกำลังเข้าใกล้ระดับ Margin Call หรือ Stop Out เทรดเดอร์สามารถคำนวณระดับ Margin ของพอร์ตโฟลิโอได้อย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการเรียกหลักประกัน และ Stop Out ที่ไม่คาดคิด<br /> &nbsp;</p> <p>ด้วยสูตรคำนวน Margin Level เทรดเดอร์สามารถคำนวนว่าบัญชีเทรดอยู่ในระดับที่เสี่ยงหรือไม่</p> <style type="text/css">.small-view .article-image{ width: 80%; } .medium-view .article-image{ width: 75%; } .large-view .article-image{ width: 70%; } </style> <img alt="สูตรคำนวณ Margin Level" class="article-image" src="/getmedia/d33be9b1-f420-4cd1-bea7-7f47f654150b/margin-level-calculation-formula.png" title="สูตรคำนวณ Margin Level" width="100%" /><br /> ที่ ThinkMarkets ระดับ Margin Call อยู่ที่ 100% ดังนั้น ตราบใดที่ระดับ Margin ของพอร์ตโฟลิโอของคุณไม่ต่ำกว่าระดับนี้ คุณก็จะปลอดภัยจากการเรียกหลักประกัน <h2>ตัวอย่าง Margin Call</h2> <p>เราจะจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันถ้าเทรดเดอร์ที่ไม่รู้จักระดับมาร์จิ้นของบัญชีหลักทรัพย์ของตัวเอง<br /> &nbsp;</p> <p>ตัวอย่างเช่น คุณฝากเงิน $1,000 ไว้ในบัญชีหลักทรัพย์ของคุณ นั่นหมายความว่ามูลค่าสุทธิของบัญชีจะอยู่ที่ $1,000 และเทรดเดอร์ได้ซื้อ <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EURUSD</a> 4 ล็อต ซึ่งจะส่งผลให้เกิด Margin Call เนื่องจาก EURUSD 1 ล็อตใช้ Margin ประมาณ $272 ดังนั้น 4 ล็อตจะใช้ Margin $1,088 ซึ่งจะทำให้ระดับ Margin Call ต่ำกว่า 100% ตามที่อธิบายด้วยรูปภาพด้านล้าง</p> <img alt="เวลามาร์จิ้นที่ใช้เป็นหลักประกันมากกว่าเงินทุนแปลว่าความเสี่ยงเริ่มสูง" class="article-image" src="/getmedia/057ece7e-07ee-4951-8862-3fe071bfef69/when-the-margin-used-as-collateral-is-more-than-the-capital-it-means-that-the-risk-starts-to-increase.png" title="เวลามาร์จิ้นที่ใช้เป็นหลักประกันมากกว่าเงินทุนแปลว่าความเสี่ยงเริ่มสูง" width="100%" /> <img alt="นำมาร์จิ้นที่เป็นหลักประกันมาหารด้วยเงินทุนเพื่อคำนวนระดับมาจิ้น" class="article-image" src="/getmedia/87df51fa-8e63-44ae-bf91-c13458422b6e/divide-the-collateralized-margin-by-the-capital-to-calculate-the-margin-level.png" title="นำมาร์จิ้นที่เป็นหลักประกันมาหารด้วยเงินทุนเพื่อคำนวนระดับมาจิ้น" width="100%" /> <p>&nbsp;</p> <p>ในอีกสถานการณ์ บัญชีหลักทรัพย์ที่มีทุน $1,000 เท่ากันสำหรับการซื้อขายภายในพอร์ตโฟลิโอของคุณ เทรดเดอร์จะมีการเปิดเทรดซื้อ EURUSD เพียง 3 ล็อต ซึ่งจะใช้เงิน $816 แต่การซื้อขายกำลังขาดทุน สมมติว่าขาดทุนประมาณ $300 ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนในพอร์ตโฟลิโอลดลงจาก $1,000 เป็น $700 ซึ่งจะทำให้เกิดการเรียกหลักประกัน หรือ อาจจะไปสู่การ Stop Out ได้</p> <img alt="การเทรดขาดทุนทำให้เงินทุนต่ำกว่าหลักประกันส่งผลให้บัญชีเข้าสู่ Margin Call ได้" class="article-image" src="/getmedia/a1c6fad1-fbfc-4ff7-8001-747dbf5b41b5/losing-trades-cause-the-capital-to-fall-below-the-margin-resulting-in-a-margin-call-in-the-account.png" title="การเทรดขาดทุนทำให้เงินทุนต่ำกว่าหลักประกันส่งผลให้บัญชีเข้าสู่ Margin Call ได้" width="100%" /> <img alt="นำมาร์จิ้นที่เป็นหลักประกันมาหารด้วยเงินทุนที่ลบกับขาดทุนเพื่อคำนวนระดับมาจิ้น" class="article-image" src="/getmedia/ef8ec0ec-009b-4b2a-8ba5-41004ac7feba/divide-the-collateralized-margin-by-the-capital-minus-losses-to-calculate-the-margin-level.png" title="นำมาร์จิ้นที่เป็นหลักประกันมาหารด้วยเงินทุนที่ลบกับขาดทุนเพื่อคำนวนระดับมาจิ้น" width="100%" /> <h2>เทรดเดอร์ควรทำอย่างไรหลังจากได้รับการแจ้งเตือนการเรียกหลักประกัน?</h2> <p>เมื่อ Margin Level ต่ำกว่าระดับที่ทางโบรกเกอร์กำหนด เทรดเดอร์จะได้รับการแจ้งเตือนจากผู้ให้บริการให้เติมเงินเพื่อเพิ่ม Equity ให้สูงขึ้น ซึ่งสำหรับเทรดเดอร์แล้วก็สายเกินแก้ที่จะทำอะไรนอกจากฝากเงินเพิ่มเพื่อเพิ่มมูลค่าสุทธิของพอร์ตโฟลิโอและป้องกันไม่ให้ถึงระดับ Stop Out</p> <h2>เทรดเดอร์จะหลีกเลี่ยงการเรียกหลักประกันได้อย่างไร?</h2> <p>อย่างไรก็ตาม มีวิธีป้องกันหลายวิธีที่เทรดเดอร์สามารถนำไปใช้ในการซื้อขายของคุณเองเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้</p> <h3><strong>1. การใช้ Stop Loss เพื่อควบคุมความเสี่ยงในการเทรด</strong></h3> <p>การใช้ Stop Loss ในทุกการซื้อขาย เมื่อเรามีขีดจำกัดของการขาดทุนแล้วจะทำให้ไม่มีการเสียหายที่มากเกินไปเมื่อมีการเทรดผิดทางซึ่งอาจส่งผลถึงการต้องเติมเงินเพิ่ม หรือ การ Stop Out ได้</p> <h3><strong>2. การตรวจสอบและเฝ้าระวังคำสั่งซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ</strong></h3> <p>การเฝ้าระวังและตรวจสอบคำสั่งซื้อขายอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากเงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และเทรดเดอร์ควรตรวจสอบสภาพตลาดและข้อมูลพื้นฐานที่กำลังจะเกิดขึ้นจากปฏิทินเศรษฐกิจ<br /> <img alt="ปฏิทินเศรษฐกิจที่จะแจ้งให้คุณทราบถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด" src="/getmedia/85b4f7d7-acc3-4847-94fe-3922ae5eb2c5/an-economic-calendar-that-keeps-you-informed-of-all-upcoming-economic-data.png" title="ปฏิทินเศรษฐกิจที่จะแจ้งให้คุณทราบถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด" width="100%" /></p> <h3><strong>3. การพัฒนากลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงเพื่อการเทรดที่ยั่งยืน</strong></h3> <p>การมีกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่เข้มงวด ซึ่งสามารถทำได้โดยมุ่งเป้าไปที่ผลกำไรขาดทุนที่น้อยลงต่อการซื้อขายแต่ละครั้งซึ่งจะช่วยจะลดความเสี่ยงที่พอร์ตโฟลิโอของเทรดเดอร์จะเสียหายหนัก และ ให้เทรดเดอร์ตั้งเป้าไปที่การทำให้พอร์ตโฟลิโอเติบโตอย่างสม่ำเสมอในระยะยาว และ เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในระยะสั้น<br /> &nbsp;</p> <p>เพียงแค่คุณเทรดกับ <a href="/th/" target="_blank">ThinkMarkets</a> ทางเราจะมีตัวช่วยคำนวณระดับมาร์จิ้นให้คุณแบบอัตโนมัติอีกด้วย<br /> <style type="text/css">.small-view #thinktrader-demo-account{ width: 85%; } .medium-view #thinktrader-demo-account{ width: 75%; } .large-view #thinktrader-demo-account{ width: 80%; } </style> <img alt="ตัวคำนวณระดับมาร์จิ้นโดยจะเป็นตัวแสดงสถานะ มาร์จิ้นที่มีอยู่ มาร์จิ้นที่ถูกใช้ และ บอกให้เทรดเดอร์ว่าเงินทุนอยู่ในระดับปลอดภัยหรือไม่" id="thinktrader-demo-account" src="/getmedia/182e8491-8346-4ca6-8129-60cdff3388e7/margin-level-calculator-shows-the-status-of-available-margin-used-margin-and-tells-the-trader-whether-the-funds-are-safe-or-not.png" title="ตัวคำนวณระดับมาร์จิ้นโดยจะเป็นตัวแสดงสถานะ มาร์จิ้นที่มีอยู่ มาร์จิ้นที่ถูกใช้ และ บอกให้เทรดเดอร์ว่าเงินทุนอยู่ในระดับปลอดภัยหรือไม่" width="100%" /></p> &nbsp; <div class="lr-v1-container" id="lr-v1-1"> <style type="text/css">.lr-v1-container .lr-v1-cta,.lr-v1-container .lr-v1-text-container p{font-family:"Noto Sans TC";font-style:normal;color:#0e1d31!important}.lr-v1-container{display:flex;justify-content:space-between;align-items:center;height:100px;width:100%;background-color:#f2f6f6;box-sizing:border-box;padding:20px 29px;border-radius:15px}.lr-v1-container *{margin:0;padding:0}.lr-v1-container .lr-v1-text-container{display:flex;flex-direction:column;gap:0}.lr-v1-container .lr-v1-text-container .lr-v1-subtitle{font-weight:400;font-size:14px;line-height:25px}.lr-v1-container .lr-v1-text-container .lr-v1-title{font-weight:900;font-size:23px;line-height:37px}.lr-v1-container .lr-v1-cta{width:112px;height:40px;background-color:#5ee15a;border-radius:4px;display:flex;justify-content:center;align-items:center;font-weight:600;font-size:16px;line-height:24px;text-decoration:none !important;} .small-view #lr-v1-1{ flex-direction: column; height: fit-content; } .small-view #lr-v1-1 .lr-v1-text-container{ align-items: center; } .small-view #lr-v1-1 .lr-v1-cta{ margin-top: 16px; } </style> <div class="lr-v1-text-container"> <p class="lr-v1-title">เปิดบัญชี ThinkTrader</p> </div> <a class="lr-v1-cta" href="https://portal.thinkmarkets.com/account/individual?lang=th">ลงทะเบียน</a></div>

9 min readผู้เริ่มต้น
ดาวโจนส์คืออะไร? ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีและวิธีการลงทุนใน DJIA

ดาวโจนส์คืออะไร? ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีและวิธีการลงทุนใน DJIA

<p>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อดัชนีดาวโจนส์ ถือเป็นดัชนีที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก และยังสามารถทำหน้าที่เป็นเหมือนมาตรฐานระยะยาวในการติดตามสภาพการเงินของบริษัทชั้นนำในสหรัฐอเมริกา<br /> &nbsp;<br /> <img alt="ดัชนีหุ้น 3 อันดับแรกของสหรัฐฯ" src="/getmedia/066d3b46-bc88-4d1e-b91f-03b86d499179/top-3-stock-index-in-us.webp" title="ดัชนีหุ้น 3 อันดับแรกของสหรัฐฯ" width="100%" /><br /> <br /> ในบทความนี้เราจะช่วยอธิบายดัชนีดาวน์โจนส์ให้พวกคุณเข้าใจ เราจะเริ่มจากการอธิบายว่าดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์คืออะไร? ตามด้วยส่วนประกอบของหุ้นที่อยู่ภายในดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> จากนั้นเราจะพูดถึงปัจจัยที่มีผลต่อความผันผวนของดัชนีดาวโจนส์และการนำไปใช้กับสถานการณ์จริง ในตอนท้ายเราจะจบบทความด้วยการแนะนำวิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์</p> <div class="tradingview-widget-container" id="tradingview-widget" style="margin-top: 20px;"><img onload=" const tradingview_widget_loader = document.createElement('script'); const version = new Date().getTime() tradingview_widget_loader.src = '/TMXWebsite/media/TMXWebsite/TW_culture_images/Scripts/trading-view-widget-loader.js?v='+version; document.head.appendChild(tradingview_widget_loader); " src="data:image/gif;base64,R0lGODlhAQABAAAAACH5BAEKAAEALAAAAAABAAEAAAICTAEAOw==" style="display: none;" /> <style type="text/css">@media (max-width: 600px) { .tradingview-widget-container { width: 100% !important; } } </style> <meta name="tradingViewTickerSymbol" content="THINKMARKETS:US30" /> <meta name="tradingViewWidgetLanguage" content="th_TH" /> <div class="tradingview-widget-container__widget">&nbsp;</div> </div> &nbsp; <p>&nbsp;</p> <h2>1. ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์คืออะไร?</h2> <p>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) เป็นดัชนีชี้วัดที่ประกอบด้วยหุ้นบลูชิปขนาดใหญ่ 30 ตัวที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและแนสแด็ก ถูกสร้างขึ้นโดย ชาร์ลส์ ดาว ในปี ค.ศ. 1896 ทำให้นี่เป็นหนึ่งในดัชนีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดในสหรัฐอเมริกา จุดประสงค์ที่ดัชนีนี้ถูกสร้างขึ้นมาก็คือใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในอดีต<br /> <br /> ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวิธีอื่นในการติดตามสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่ดัชนีดาวโจนส์ยังคงเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการแสดงถึงสุขภาพทางการเงินของบริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ เนื่องจากวัตถุประสงค์ของ DJIA คือการเป็นตัวบ่งชี้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ<br /> <br /> หุ้นที่อยู่ใน DJIA จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลาเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในบทต่อไปเราจะอธิบายถึงวิธีการคัดเลือกหุ้นที่จะเข้ามาอยู่ใน DJIA.</p> <p>&nbsp;</p> <h2>2. การคัดเลือกหุ้นของดัชนีดาวโจนส์</h2> <p>ดัชนีดาวโจนส์ไม่เหมือนกับดัชนีอื่นๆที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด &nbsp;แต่ DJIA เลือกหุ้นโดยคณะกรรมการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ S&amp;P Dow Jones Indices รวมถึงบรรณาธิการของ The Wall Street Journal<br /> &nbsp;<br /> กระบวนการในการคัดเลือกนี้จะมุ่งเน้นไปที่คุณภาพของบริษัท ความมีชื่อเสียงและความยั่งยืน มากกว่าขนาดของตลาดหรือเมตริกอื่นๆ</p> <h3>2.1 ข้อกำหนด</h3> <p>บริษัทที่รวมอยู่ใน DJIA โดยทั่วไปแล้วจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงและมีชื่อเสียงสูงหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ <strong>&#39;blue-chip&#39;&nbsp;</strong>ข้อพิจารณาที่สำคัญสำหรับการคัดเลือกคือ:</p> <h4>2.1.1 ชื่อเสียง</h4> <p>บริษัทต้องเป็นที่รู้จักดี มีชื่อเสียงที่มั่นคงและมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและตลาด&nbsp;</p> <h4>2.1.2 การเติบโตที่ยั่งยืน</h4> <p>มีประวัติการเติบโตที่ยั่งยืนและมีผลการดำเนินงานทางการเงินที่มั่นคง แสดงถึงสุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรที่สม่ำเสมอ</p> <h4>2.1.3&nbsp;การพิจารณาเป็นระยะ</h4> <p>บริษัทภายใน DJIA จะมีการพิจารณาเป็นระยะ แต่การเปลี่ยนแปลงจะไม่เกิดขึ้นบ่อยนักเพื่อรักษาความต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงมักเกิดขึ้นเมื่อบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญ เช่น การควบรวมกิจการหรือความลำบากทางการเงิน&nbsp;</p> &nbsp; <table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody> <tr> <td> <p><strong><u>ข้อยกเว้น</u></strong><br /> ดัชนีดาวโจนส์จะไม่รวมบริษัทจากภาคการขนส่งและสาธารณูปโภคเนื่องจากมีดัชนีดาวโจนส์อื่นๆ ที่ครอบคลุมอยู่แล้ว (เช่น ดัชนีขนส่งดาวโจนส์และดัชนียูทิลิตี้ดาวโจนส์)</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p>&nbsp;</p> <h3>2.2 การให้น้ำหนักของแต่ละภาคส่วนและหุ้นในดัชนีดาวโจนส์&nbsp;</h3> &nbsp; <p>DJIA เป็นดัชนีที่มีการให้น้ำหนักตามราคาหุ้น ซึ่งหมายความว่าหุ้นแต่ละตัวมีส่วนในการเคลื่อนไหวของดัชนีตามราคาหุ้นต่อหุ้นของมันเอง มากกว่าการให้น้ำหนักมูลค่าตลาดรวม และนี่คือตัวอย่างว่ามันมีการคำนวณอย่างไร:<br /> &nbsp;<br /> <b>สูตร</b>: DJIA คำนวณโดยการรวมราคาหุ้นของบริษัททั้ง 30 หุ้นแล้วหารด้วยตัวหารที่เรียกว่า &#39;Dow Divisor&#39;&nbsp;</p> <br /> <img alt="การคำนวณและการถ่วงน้ำหนักของ DJIA" src="/getmedia/a9084b22-1e34-4611-a2c8-f637b0f61952/DJIA-calculation-and-weighting.webp" title="การคำนวณและการถ่วงน้ำหนักของ DJIA" width="90%" /> <p><br /> Dow Divisor จะมีการปรับเป็นระยะสำหรับการแยกหุ้น การแยกย่อย หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอื่นๆ เพื่อให้เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของ DJIA อย่างไม่ถูกต้อง น้ำหนักของแต่ละภาคส่วนในดัชนีดาวโจนส์ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2024 มีดังนี้:</p> &nbsp; <style type="text/css">thead { background-color: #3e4a5a; } thead tr th { color: white; } .header-row { background-color: #3e4a5a; } .header-row th { color: white; } </style> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1"> <thead> <tr> <th><strong>Sectors</strong></th> <th><strong>บริษัทที่เกี่ยวข้อง</strong></th> <th><strong>น้ำหนักรวม&nbsp;</strong></th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td>อุตสาหกรรม</td> <td>Boeing, 3M, Honeywell, Caterpillar</td> <td>13.69%</td> </tr> <tr> <td>การเงิน</td> <td>American Express, Goldman Sachs, JPMorgan Chase, Visa, Travelers</td> <td>21.70%</td> </tr> <tr> <td>สินค้าฟุ่มเฟือย<i> </i></td> <td>Disney, Nike, McDonald, Home Depot, Amazon</td> <td>17.70%</td> </tr> <tr> <td>เทคโนโลยีสารสนเทศ</td> <td>Apple, Cisco, Microsoft, Salesforce, Intel</td> <td>19.53%</td> </tr> <tr> <td>สุขภาพ</td> <td>Amgen, UnitedHealth Group, Johnson &amp; Johnson, Merck</td> <td>18.47%</td> </tr> <tr> <td>สินค้าคงทน</td> <td>Coca-Cola, Procter &amp; Gamble, Walmart</td> <td>4.71%</td> </tr> <tr> <td>พลังงาน</td> <td>Chevron</td> <td>2.59%</td> </tr> <tr> <td>วัสดุ</td> <td>Dow</td> <td>0.94%</td> </tr> <tr> <td>บริการสื่อสาร</td> <td>Verizon</td> <td>0.67%</td> </tr> </tbody> </table> <p><br /> การให้น้ำหนักของแต่ละภาคส่วนสามารถส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดาวโจนส์ ความผันผวนของดาวโจนส์มักเกิดจากปัจจัยจากภาคส่วนที่มีน้ำหนักมากกว่า<br /> &nbsp;</p> <h2>3. ปัจจัยที่มีผลต่อความผันผวนของดาวโจนส์</h2> <p>การเข้าใจ<strong>ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA)</strong> เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักลงทุน<br /> &nbsp;<br /> ปัจจัยต่างๆ เช่น ตัวชี้วัดเศรษฐกิจ การตัดสินใจของรัฐบาล เหตุการณ์ทั่วโลก ผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุน และค่าเงิน ล้วนมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของ DJIA<br /> &nbsp;<br /> <img alt="ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีดาวโจนส์" src="/getmedia/d6f9cede-e9f2-45db-b506-65292b085612/factors-affecting-the-dow-jones-index.webp" title="ปัจจัยที่มีผลต่อดัชนีดาวโจนส์" width="100%" /><br /> &nbsp;</p> <h3>3.1 ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ</h3> <p><strong>ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ </strong>คือข้อมูลที่จะประกาศออกมาในช่วงเวลาที่กำหนดโดยหน่วยงานที่แสดงถึงสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้นี่เป็นส่วนสำคัญที่สามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน<br /> &nbsp;<br /> ดังนั้นเราจึงควรควรติดตามข้อมูลที่สำคัญอย่าใกล้ชิด เช่น การเติบโตของ GDP อัตราการว่างงาน และข้อมูลเงินเฟ้อ CPI<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น อัตราการเติบโตของ GDP ที่สูงกว่าคาดมักจะเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มสูงขึ้นของราคาหุ้นเนื่องจากสัญญาณของความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานสามารถส่งผลตรงกันข้าม มันแสดงให้เห็นถึงถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและกระตุ้นให้นักลงทุนขายหุ้นออกไป</p> &nbsp; <h3>3.2 นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย</h3> <p>นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ <em>(FED: Federal Reserve)</em> โดยเฉพาะ<strong>การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย</strong> สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อ DJIA<br /> &nbsp;<br /> เมื่อธนาคารกลางขึ้นอัตราดอกเบี้ย ต้นทุนในการกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นสำหรับธุรกิจและผู้บริโภค ซึ่งสามารถชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจและลดกำไรของบริษัท ส่งผลให้ราคาหุ้นลดลง<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การลดอัตราดอกเบี้ยสามารถกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ โดยทำให้ดอกเบี้ยในการกู้ยืมมีราคาถูกลง ซึ่งสามารถเพิ่มการใช้จ่ายและการลงทุนได้ ส่งผลให้ราคาหุ้นสูงขึ้น เนื่องจากคาดว่าผลกำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้น<br /> &nbsp;<br /> ดังนั้น การทำความเข้าใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ และผลกระทบของนโยบายนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญในการคาดการณ์แนวโน้มตลาด</p> &nbsp; <h3>3.3 เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์</h3> <p>เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์เช่น <strong>การเลือกตั้ง สงคราม และข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ</strong>สามารถทำให้ดัชนีดาวโจนส์ผันผวนได้อย่างมีนัยสำคัญ<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น ความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือความขัดแย้งสามารถนำไปสู่ความไม่แน่นอนในตลาดการเงิน ทำให้ราคาหุ้นลดลงเนื่องจากนักลงทุนจะหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า สงครามการค้าและภาษีศุลกากรสามารถส่งผลลบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่มีการค้าระหว่างประเทศมาก ซึ่งนำไปสู่การลดลงของราคาหุ้น<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การพัฒนาเชิงบวกทางภูมิรัฐศาสตร์ <strong>เช่น ข้อตกลงสันติภาพหรือข้อตกลงการค้าที่เป็นผลดี </strong>สามารถเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามเหตุการณ์ทางการเมืองระดับโลกเพื่อคาดการณ์และตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดที่อาจเกิดขึ้น</p> &nbsp; <h3>3.4 ผลประกอบการ การหมุนเวียน และ แนวโน้มตลาดของภาคธุรกิจ</h3> <p>ภาคธุรกิจต่างๆ มีลักษณะเฉพาะในธุรกิจของตัวเองและสามารถมีผลประกอบการที่แตกต่างกันไปตลอดปี ซึ่งนำไปสู่การหมุนเวียนและแนวโน้มของตลาดซึ่งส่งผลต่อมูลค่าของดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> ตัวอย่างเช่น ในช่วงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ภาคสินค้าฟุ่มเฟือยและเทคโนโลยีมักมีผลประกอบการที่ดีเนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและนวัตกรรม ในทางกลับกัน ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ภาคป้องกันเช่นสาธารณูปโภคและการดูแลสุขภาพมักมีผลประกอบการที่ดีกว่าเนื่องจากเป็นบริการที่จำเป็น<br /> &nbsp;<br /> การหมุนเวียนของภาคธุรกิจเกี่ยวข้องกับการโยกย้ายการลงทุนจากภาคหนึ่งไปยังอีกภาคหนึ่งตามแนวโน้มผลประกอบการที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อ DJIA การติดตามผลประกอบการของภาคธุรกิจและการเข้าใจวัฏจักรของตลาดสามารถช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากแนวโน้มเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <h3><br /> 3.5 ความเชื่อมั่นของตลาด</h3> <p>ความเชื่อมั่นของตลาด คือความรู้สึกโดยรวมของนักลงทุนที่มีต่อสภาวะตลาด มีบทบาทสำคัญในการผันผวนของดัชนีดาวโจนส์ ซึ่งสามารถวัดได้ผ่านดัชนี VIX<br /> &nbsp;<br /> ความเชื่อมั่นเชิงบวกมักถูกขับเคลื่อนด้วยข่าวดีหรือข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถเพิ่มกิจกรรมการซื้อและทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น ในทางกลับกัน ความเชื่อมั่นที่ลดลงที่เกิดจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจหรือรายงานผลประกอบการที่ไม่ดีของบริษัทสามารถส่งผลให้เกิดแรงเทขายและทำให้ราคาหุ้นลดลง<br /> &nbsp;<br /> ปัจจัยอื่นๆ เช่นรายงานของสื่อ ความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ หรือแม้แต่แนวโน้มในโซเชียลมีเดียยังสามารถมีผลต่อความเชื่อมั่นของตลาด การเข้าใจความเชื่อมั่นของตลาดสามารถช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของตลาดและปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์</p> &nbsp; <h3>3.6 อัตราแลกเปลี่ยน</h3> <p><strong>อัตราแลกเปลี่ยนของดอลลาร์สหรัฐฯ</strong> เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อดัชนีดาวโจนส์ มูลค่าของดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นทำให้ต้นทุนในการส่งออกของสหรัฐฯ มีราคาสูงขึ้นและไม่สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆได้ ซึ่งอาจทำให้กำไรของบริษัทข้ามชาติที่รวมอยู่ใน DJIA ลดลง ปัจจัยนี้สามารถนำไปสู่การลดลงของราคาหุ้นและส่งผลต่อการลดค่าลงของดัชนี<br /> &nbsp;<br /> ในทางกลับกัน การที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงจะสามารถกระตุ้นการส่งออก โดยทำให้ต้นทุนมีราคาถูกลงและสามรถแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มกำไรของบริษัทและทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้น นักลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามแนวโน้มของค่าเงินและเข้าใจผลกระทบต่อตลาดเพื่อทำการตัดสินใจลงทุน</p> <h2>4. ข้อมูลย้อนหลังของดาวโจนส์</h2> <p>ดัชนีดาวโจนส์ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปีที่ผ่านมา จากแผนภูมิด้านล่าง เราจะเห็นได้ว่า Dow Jones มีการยกตัวสูงขึ้นมาตั้งแต่ปี 2009 หลังจากเกิด <em><strong>Financial Crysis</strong></em> และแตะระดับ 40,000 ในขณะนี้ <em>(</em><em>2024)</em><br /> &nbsp;<br /> <img alt="แผนภูมิประวัติศาสตร์ดาวโจนส์" src="/getmedia/e9080b4e-36ba-4ba3-98cb-92eff32d0609/dow-jones-historical-chart.webp" title="แผนภูมิประวัติศาสตร์ดาวโจนส์" width="100%" /><br /> &nbsp;<br /> ข้อมูลต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ได้เกิดขึ้นกับดาวโจนส์:<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>17 กันยายน 2001</strong></li> </ul> <p>การร่วงลงของดัชนีในหนึ่งวันซึ่งมากเป็นอันดับสี่และเยอะที่สุดในช่วงเวลานั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นในวันแรกของการซื้อขายหลังจากเหตุการณ์โจมตี 9/11 ในนิวยอร์กซิตี้ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 684.81 จุดหรือประมาณ 7.1% อย่างไรก็ตาม เราสามารถสังเกตได้ว่าดัชนีได้ลดลงก่อนวันที่ 11 กันยายน มากกว่า 1,000 จุดระหว่างวันที่ 2 มกราคม ถึง 10 กันยายน DJIA เริ่มฟื้นตัวหลังจากเหตุการณ์โจมตีได้ทั้งหมด และกลับมาปิดเหนือ 10,000 ในปีนั้น<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>25</strong><strong> มกราคม 2017</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์ปิดเหนือ 20,000 จุดเป็นครั้งแรก<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>มีนาคม 2020</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์พังทลายด้วยการลดลงที่ทำลายสถิติสองวันติดต่อกันท่ามกลางการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสทั่วโลก ดัชนีดาวโจนส์ลดลงต่ำกว่า 20,000 และเป็นการลดลง 3,000 จุดในหนึ่งวัน มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงระหว่างระดับ 2,000 และ 1,500 จุดอยู่หลายครั้ง จนสุดท้ายดัชนีดาวโจนส์เข้าสู่ตลาดหมีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2020 เป็นการสิ้นสุดตลาดกระทิงที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>24</strong><strong> พฤศจิกายน 2020</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์ทะลุระดับ 30,000 เป็นครั้งแรก โดยปิดที่ 30,045.84<br /> &nbsp;</p> <ul> <li><strong>16</strong><strong> พฤษภาคม 2024</strong></li> </ul> <p>ดาวโจนส์ทะลุ 40,000 เป็นครั้งแรกและทำระดับสูงสุดเป็นประวัติกาลที่ 40,051.05 ในระหว่างการซื้อขายภายในวัน</p> <p><br /> มาจนถึงตอนนี้ คุณอาจจะรู้สึกว่า กราฟราคาที่เป็นขาขึ้นอย่างแข็งรงของดัชนีดาวโจนส์ ดูเหมือนจะเป็นอะไรที่เย้ายวนใจ แต่คำถามคือ จะลงทุนได้ที่ไหน และ อย่างไร? ไม่ต้องห่วงในบทต่อไปเราจะมาชี้แนะเส้นทางสายนี้ให้กับคุณเอง</p> <p>&nbsp;</p> <h2>5. วิธีการลงทุนในดาวโจนส์</h2> <p>แม้ว่าดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์จะไม่สามารถลงทุนได้โดยตรงเพราะมันเป็นเพียงดัชนีที่ประกอบและประเมิณค่าด้วยหุ้นบลูชิป แต่การลงทุนในดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) สามารถทำได้ผ่านเครื่องมือทางการเงินต่างๆ<br /> &nbsp;<br /> ถ้าพูดถึงในฐานะดัชนีแล้ว ดาวโจนส์ถือเป็นพื้นฐานสำหรับผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ต่างๆ ที่นำเสนอวิธีการที่หลากหลาย ในการเข้าถึงผลการดำเนินงานของดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> การเข้าใจผลิตภัณฑ์เหล่านี้และคุณสมบัติเฉพาะของมันสามารถช่วยให้นักลงทุนและเทรดเดอร์ตัดสินใจอย่างมีประสิทธืภาพผ่านการใช้ข้อมูล<br /> &nbsp;<br /> ในส่วนนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นถึงภาพรวมของวิธีการลงทุนหลักๆสำหรับนักลงทุนและเทรดเดอร์ ซึ่งประกอบไปด้วย ETFs, ฟิวเจอร์ส, CFDs, ออปชั่น &amp; วอแรนท์ และหุ้นที่เป็นส่วนประกอบภายในดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> <img alt="วิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์" src="/getmedia/15b459f2-2d86-4f5c-8582-9b0938e6a431/ways-to-invest-in-dow-jones-index.webp" title="วิธีการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์" width="100%" /><br /> &nbsp;</p> <h3>5.1 กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs)</h3> <p><strong>กองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETFs)</strong> เป็นวิธีการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุดสำหรับนักลงทุนและดทรดเดอร์ในการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์<br /> &nbsp;<br /> ETFs เป็นกองทุนลงทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ คล้ายกับหุ้น โดยพวกเขามีเป้าหมายในการจำลองผลการดำเนินงานของดัชนีเฉพาะ เช่น DJIA<br /> &nbsp;<br /> ETFs สามารถทำให้นักลงทุนเข้าถึงบริษัททั้งหมดภายในดาวโจนส์ และลดความเสี่ยงกับการลงทุนในหุ้นเพีบงตัวเดียว ตัวอย่างเช่น SPDR Dow Jones Industrial Average ETF Trust (DIA) ถือหุ้นของบริษัททั้ง 30 ตัวใน DJIA ทำให้พอร์ตการลงทุนมีการลงทุนที่หลากหลายซึ่งลดความเสี่ยงของการลงทุนบริษัทเดียว<br /> &nbsp;<br /> ความยืดหยุ่นและสะดวกของ ETFs ช่วยให้สามารถซื้อและขายในราคาตลาดได้ตลอดวันซื้อขาย DIA ตัวอย่างเช่น มีการซื้อขายด้วยสภาพคล่องที่สูง ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าสามารถซื้อเข้าและขายออกได้ง่ายโดยไม่มีการคลาดเคลื่อนราคาที่มากจนเกินไป<br /> &nbsp;<br /> โดยทั่วไป ETFs มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าเมื่อเทียบกับกองทุนรวม DIA ตัวอย่างเช่น มีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 0.16% ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนที่มีการจัดการเชิงรุก</p> &nbsp; <h3>5.2 สัญญาฟิวเจอร์ส</h3> <p><strong>สัญญาฟิวเจอร์ส</strong>เป็นข้อตกลงทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาและวันที่กำหนดในอนาคต สัญญาฟิวเจอร์สดาวโจนส์มีอยู่หลากหลายขนาด เช่น E-Mini และ Micro E-Mini</p> <h4>5.2.1 E-Mini ดาวโจนส์</h4> <p>E-Mini ดาวโจนส์&nbsp;เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาฟิวเจอร์สดาวโจนส์ทั้งสัญญา ทำให้มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนรายย่อย โดยแต่ละสัญญาของ E-Mini จะมีค่าเป็นห้าเท่าของดัชนีดาวโจนส์<br /> <br /> ในโลกของการเก็งกำไรเราเรียกสิ่งนี้ว่าเลเวอเรจ ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนควบคุมสัญญาซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนจำนวนเล็กน้อย สิ่งนี้สามารถเพิ่มโอกาสทั้งในด้านของ<strong>การทำกำไรและการขาดทุน</strong> เลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่สามารถเพิ่มผลกำไรได้อย่างมาก แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนที่สูงมากขึ้นด้วยเช่นกัน</p> <h4>5.2.2 Micro E-Mini ดาวโจนส์</h4> <p>จะมีขนาดเล็กกว่าสัญญา E-Mini &nbsp;โดยสัญญา Micro E-Mini เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเข้าถึงการเก็งกำไรในดัชนีดาวโจนส์ด้วยการใช้เงินทุนที่ต่ำ แต่ละสัญญาของ Micro E-Mini จะมีค่าเป็นสิบเท่า ของสัญญา E-Mini ทั่วไป</p> <p><br /> นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในการเรียนรู้เกี่ยวกับการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สโดยไม่ต้องใช้เงินทุนเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้เริ่มต้น</p> &nbsp; <h3>5.3 สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs)</h3> <p><strong>สัญญาซื้อขายส่วนต่าง</strong> (CFDs: Contract For Difference) เป็นผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่อนุญาตให้นักลงทุนและเทรดเดอร์คาดเดาการเคลื่อนไหวของราคาของสินทรัพย์ เช่น ดาวโจนส์ โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น</p> &nbsp; <style type="text/css">thead { background-color: #3e4a5a; } thead tr th { color: white; } .header-row { background-color: #3e4a5a; } .header-row th { color: white; } </style> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1"> <thead> <tr> <th colspan="2"><strong>ข้อดีของ CFDs</strong></th> </tr> </thead> <tbody> <tr> <td><b>สามารถเข้าถึงได้ง่าย</b></td> <td>CFDs มีการเข้าถึงที่ง่ายกว่าสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุนรายย่อย เนื่องจากสามารถซื้อขายได้ง่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้เทรดเดอร์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ง่ายและมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำ<br /> <br /> โดยทั่วไป CFDs มีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับวิธีการซื้อขายแบบทั่วไป ทำให้ดึงดูดนักลงทุนและเทรดเดอร์ที่คำนึงถึงเรื่องของการเสียค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย</td> </tr> <tr> <td><b>เลเวอเรจ</b><br /> &nbsp;</td> <td>CFDs มักให้เลเวอเรจที่สูง ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถส่งคำสั่งซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนที่น้อยลง แต่สิ่งนี้สามารถเพิ่มทั้งโอกาสในการทำกำไรและขาดทุน</td> </tr> <tr> <td><b>ความยืดหยุ่น</b></td> <td>CFDs สามารถส่งคำสั่งได้ทั้งการซื้อ (long) และ ขาย (short) ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจากตลาดได้ทั้งขาขึ้นหรือลง ความยืดหยุ่นนี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมากในตลาดที่มีความผันผวนที่สูง</td> </tr> </tbody> </table> <h3><br /> 5.4&nbsp;ออปชั่นและวอแรนท์</h3> <p><strong>ออปชั่นและวอแรนท์</strong>เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้สิทธิ์แก่นักลงทุนโดยไม่มีข้อกำหนดในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดก่อนวันที่กำหนด</p> <h4>5.4.1 ออปชั่นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท</h4> <ul> <li>Call Options: ออปชั่นนี้ให้ผู้ถือสิทธิ์สามารถซื้อดัชนีดาวโจนส์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ช่วยให้นักลงทุนทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดขาขึ้น ถือเป็นวิธีการเก็งกำไรของตลาดโดยไม่ต้องลงทุนมูลในค่าเต็มของดัชนี</li> <li>Put Options: ออปชั่นนี้ให้ผู้ถือสิทธิ์สามารถขายดาวโจนส์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นการป้องกันในกรณีที่ตลาดอยู่ในสภาวะตกต่ำ เครื่องมือนี้มีค่ามากสำหรับการป้องกันความเสี่ยงจากการลดลงของราคาตลาด</li> </ul> <h4>5.4.2 วอแรนท์</h4> <p>มีความคล้ายคลึงกับออปชั่น วอแรนท์เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ออกโดยบริษัทที่ให้ผู้ถือสิทธิ์สามารถซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งในราคาที่กำหนดก่อนวันหมดอายุที่กำหนดไว้ วอแรนท์มักมีระยะเวลาหมดอายุที่ยาวนานกว่าออปชั่นหุ้น</p> <h3><br /> 5.5 การลงทุนในหุ้นส่วนประกอบของดาวโจนส์</h3> <p>เป็นอีกวิธีหนึ่งในการเข้าถึงดัชนีดาวโจนส์ด้วยการลงทุนโดยตรงในหุ้นส่วนประกอบของดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) ซึ่งประกอบด้วยไปด้วยบริษัทขนาดใหญ่ 30 บริษัทที่มีการซื้อขายสาธารณะในอุตสาหกรรมต่างๆ<br /> &nbsp;</p> <h2>6. สรุป</h2> <p><strong>ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์</strong>เป็นดัชนีหุ้นของบริษัทบลูชิปขนาดใหญ่ 30 แห่งในสหรัฐฯ ที่เป็นที่รู้จักของตลาดหุ้นอเมริกัน<br /> <br /> ดัชนีนี้มีเพียง 30 บริษัทเท่านั้น และตัวดัชนีเองก็มีการให้น้ำหนักตามราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้สามารถสะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นได้อย่างแม่นยำเสมอไป<br /> <br /> บริษัทใน DJIA ถูกคัดเลือกโดยคณะกรรมการและได้รับการปรับสมดุลเพื่อที่จะพยายามแสดงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งหมายความว่าบริษัทบางแห่งอาจถูกเพิ่มหรือถูกลบออกจากดัชนีดาวโจนส์เป็นระยะ ๆ โดยไม่มีวิธีในการคาดการณ์ว่าหุ้นใดจะถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อไร</p>

14 min readผู้เริ่มต้น

ดัชนี

ดาวโจนส์, S&P 500, และดัชนี FTSE Taiwan เป็นมาตรฐานที่สะท้อนถึงแนวโน้มโดยรวมของตลาดหุ้นในภูมิภาคหนึ่งๆ