Forex
ฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละสกุลเงินเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดฟอเร็กซ์
บทความ (4)
วิธีคำนวณกำไรในการเทรด Forex
<p>การคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex เป็นความรู้สำคัญที่จำเป็นอย่างมากที่จะทำให้คุณเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จได้ การที่เทรดเดอร์เรียนรู้วิธีการคำนวณกำไรขาดทุนนั้นจะทำให้ทักษะการบริหารความเสี่ยงดีขึ้นเช่นกัน<br /> <br /> การทราบผลกำไรและขาดทุนก่อนที่การเทรดจะเกิดขึ้นจะช่วยให้เราจัดการเงินทุนของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็จะทราบถึงความเสี่ยงที่กำหนดไว้ในการซื้อขายนั้นๆ และเตรียมความพร้อมทางการเงินและจิตใจสำหรับการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น<br /> <br /> ในบทความนี้ เราจะแนะนำคุณตลอดกระบวนการคำนวณกำไรและขาดทุนในการเทรดฟอเร็กซ์ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถประมาณจำนวนเงินที่คุณจะได้หรือขาดทุนในการเทรดที่กำลังจะเกิดขึ้น<br /> </p> <h2 id="กำไรขาดทุนในตลาด forex คืออะไร?">1. กำไรขาดทุนในตลาด forex คืออะไร?</h2> <p>เนื่องจากลักษณะของการเทรดฟอเร็กซ์ ซึ่งคุณสามารถวางตำแหน่งซื้อหรือขายในผลิตภัณฑ์เดียวกันได้ บางคนอาจสับสนเกี่ยวกับการคำนวณกำไรและขาดทุน เมื่อคุณดำเนินการตำแหน่งที่แตกต่างกัน (การซื้อ Long / การขาย Short) ผลลัพธ์จะมีความแตกต่างอย่างมากเมื่อผลิตภัณฑ์ทางการเงินไปในทิศทางเดียวกัน</p> <h3><br /> 1.1 เมื่อเข้าสู่ตำแหน่ง Long/ซื้อ</h3> <br /> <img alt="ตำแหน่ง Long" src="/getmedia/b706b1b2-955a-4a92-8858-ede220775dc8/long-position-forex.png" title="ตำแหน่ง Long" width="100%" /><br /> <h3>1.2 เมื่อเข้าสู่ตำแหน่ง Short/ขาย</h3> <br /> <img alt="ตำแหน่ง Short" src="/getmedia/7b765eca-cbb0-4674-8fa5-0336ff151db8/short-position-forex.png" title="ตำแหน่ง Short" width="100%" /> <p> <br /> สรุปสั้นๆเมื่อเราถือสถานะ Long เราจะได้กำไรเมื่อสินค้าขึ้น เมื่อเราถือสถานะ Short เราจะได้กำไรเมื่อสินค้าลดลง ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราจะได้กำไรจากทิศทางที่แตกต่างกันเมื่อเราถือตำแหน่งประเภทต่างๆ ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้สูตรการคำนวณกำไรและขาดทุนในตลาด Forex<br /> </p> <h2 id="วิธีคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex">2. วิธีคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex</h2> <p>สูตรการคำนวณกำไรขาดทุนฟอเร็กซ์นั้นตรงไปตรงมาและเข้าใจง่ายนิดเดียว นี่คือสูตรการคำนวณกำไรขาดทุนในฟอเร็กซ์:</p> <p> </p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>คํานวณกําไรขาดทุน = ขนาด Lot X ค่า Pip X จํานวน Pip</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p> <br /> ข้อกังวลเพียงอย่างเดียวคือคุณควรมีความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับองค์ประกอบของสูตร ส่วนประกอบเหล่านี้เป็นพื้นฐานพื้นฐานที่คุณควรทราบหากคุณต้องการซื้อขายฟอเร็กซ์ตั้งแต่แรก ซึ่งได้แก่ ขนาดล็อต มูลค่า <strong>Pip</strong> และจำนวน Pip</p> <h3><br /> 2.1 ขนาดล็อต</h3> <p>Lot มาตรฐานในฟอเร็กซ์โดยทั่วไปคือ 100,000 หน่วยของสินทรัพย์หลักที่อ้างอิงถึงสินทรัพย์นั้น 1 Lot EURUSD มีมูลค่า 100,000 ยูโร (100,000 หน่วย * 1 ยูโร) หรือ 1 Lot ของ USDJPY มีมูลค่า 100,000 ดอลลาร์ (100,000 หน่วย * 1 ดอลลาร์)<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม สินทรัพย์ที่แตกต่างกันอาจมีขนาดสัญญาที่แตกต่างกันตามประเภทสินทรัพย์ เช่น XAUUSD โดยขนาดสัญญาอยู่ในหน่วยทรอยออนซ์</p> <h3>2.2 จำนวน Pip</h3> Pip ย่อมาจาก “Percentage in Point” ซึ่งค่านี้มักจะเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่น้อยที่สุดของผลิตภัณฑ์ทางการเงินในฟอเร็กซ์หรือ CFD ตัวอย่างเช่น หากราคาของ EURUSD ขยับขึ้นจาก 1.0159 เป็น 1.0160 การเคลื่อนไหว 0.0001 นั้นจะเท่ากับ 1 pip<br /> <table border="1" cellpadding="1" cellspacing="1" style="width:100%;"> <tbody> <tr> <td style="padding-left:10px;">ข้อควรรู้:<br /> โบรกเกอร์สมัยใหม่อย่าง <a href="/th/" target="_blank"><strong><u>ThinkMarkets</u></strong> </a> มอบแพลตฟอร์มการเทรดที่มีความแม่นยำสูงให้กับลูกค้าโดยให้ตำแหน่งทศนิยมเพิ่มเติมแก่เทรดเดอร์ เช่น 1.01590 ซึ่งเรียกว่า Pipette หรือ Point</td> </tr> </tbody> </table> <p><br /> ดังนั้น pip จึงเป็นทศนิยมตำแหน่งที่สองสุดท้ายในกราฟของโบรกเกอร์สมัยใหม่ วิธีที่ง่ายกว่าในการวัดจำนวน pip (การเคลื่อนไหวของราคา) คือการใช้เครื่องมือ “Measure” บน ThinkTrader หรือเครื่องมือ “Crosshair” บน MetaTrader<br /> <br /> บน ThinkTrader เทรดเดอร์สามารถใช้เครื่องมือวัดตามที่แสดงในวงกลมสีแดง จากนั้นคลิกที่จุดสองจุดที่คุณต้องการวัดระยะทาง</p> <br /> <img alt="เครื่องมือวัดผล ThinkTrader" src="/getmedia/64a67fd6-1106-4f9d-8fcb-12fc119c6cbc/thinktrader-measure-tool.png" title="เครื่องมือวัดผล ThinkTrader" width="100%" /><br /> <p>ผลลัพธ์ของการวัดนี้ให้ออกมาเป็น 1,375 Point และในการแปลง Point เหล่านี้กลับเป็น Pip เพียงหาร Point ด้วย 10 แล้วคุณจะได้ระยะทาง 137.5 pip</p> <h3>2.3 มูลค่า Pip</h3> <p>มูลค่า Pip คือมูลค่าเงิน (โดยปกติเป็น USD) ที่เราจะได้รับจากการเคลื่อนไหว 1 Pip เมื่อเราถือเทรดออร์เดอร์ 1 ล็อตมาตรฐาน</p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>ขนาด Lot X ตําแหน่งทศนิยมของ Pip = ค่า Pip</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p><br /> ดังนั้นในคู่ EUR/USD มูลค่า Pip ของล็อตมาตรฐานจะเป็นดังที่แสดงด้านล่าง:</p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>100,000 (1 Lot) * 0.0001 (ตําแหน่งทศนิยมของ 1 Pip สกุลเงินอ้างอิง) = 10 USD</strong></td> </tr> </tbody> </table> <div> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="padding-left:10px;">*โปรดทราบว่าเมื่อสกุลเงินอ้างอิงเป็นสกุลเงินอื่น เช่น USD / JPY หรือ USD/CAD เราจำเป็นต้องแปลงมูลค่าเป็น USD โดยการแปลงเงินกลับมาจากสกุลเงินอ้างอิงให้เป็น USD ตัวอย่างเช่น 1 Lot ของ USD/JPY สูตรของมูลค่า Pip กลายเป็น:<br /> <div>Pip Value = 100,000 * 0.01 (ตำแหน่งทศนิยมของ Pip) = 1000 Yen / 155.70 (อัตราแลกเปลี่ยน USDJPY) = 6.42 USD</div> </td> </tr> </tbody> </table> </div> <p><br /> เมื่อเรามีตัวแปร 3 ตัวในการคำนวณ PnL ของเราแล้ว เราก็เพียงเพิ่มตัวแปรเหล่านั้นลงในสูตรการคำนวณของเราเพื่อให้ได้มูลค่า Pip ที่แน่นอนสำหรับกำไรและขาดทุนของเรา<br /> <br /> ตัวอย่างเช่น เรากำลังเทรด EURUSD long ที่ 0.5 ล็อต โดยมีจุดตัดการขาดทุนที่ 12 Pip และจุดทำกำไรที่ 24 Pip ซึ่งเป็นอัตราส่วน Risk to Reward ที่ 1:2<br /> <br /> เราสามารถคำนวณจุดตัดขาดทุนและทำจุดกำไรในรูปของจำนวนเงินได้อย่างง่ายดาย<br /> <br /> จุดตัดขาดทุน:<br /> </p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px"><strong>จุดตัดขาดทุน = 0.5 Lot X 10 X 12 Pip = $60</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p style="text-align: center;"> </p> <p>จุดทำกำไร:<br /> </p> <table border="2px" style="width:100%;border-style:groove;margin: 0px auto;border-color:#7BB34E;"> <tbody> <tr> <td style="text-align: center;font-size:20px;"><strong>จุดทำกำไร </strong><strong>= 0.5 Lot X 10 X 24 Pip = $120</strong></td> </tr> </tbody> </table> <p> <br /> ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการคำนวณมาก เนื่องจากเมื่อคุณทำการเทรดมาสักระยะหนึ่ง คุณก็จะสามารถประมาณ Stop loss และ Take profit ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วในหัวของคุณ<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ชอบการคำนวณจริงๆ คุณสามารถลองเปลี่ยนไปใช้ ThinkMarkets ได้ เนื่องจากแพลตฟอร์มของเราสามารถช่วยคุณในการคำนวณได้</p> <h2 id="แพลตฟอร์มที่ช่วยคำนวณกำไรและขาดทุน">3. แพลตฟอร์มที่ช่วยคำนวณกำไรและขาดทุน</h2> <p>บน ThinkMarkets เรามี 3 แพลตฟอร์มที่พร้อมใช้งานสำหรับเทรดเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นบน ThinkTrader, MetaTrader 4 หรือ MetaTrader 5 แอปพลิเคชันเหล่านี้สามารถช่วยเทรดเดอร์คำนวณกำไรขาดทุนสำหรับการเทรดในตลาด Forex ได้<br /> <br /> บน ThinkTrader เมื่อคุณเปิดหน้าต่างการซื้อขายที่มุมขวาบน คุณสามารถตั้งค่าประเภทคำสั่งซื้อขายใดก็ได้ที่คุณใช้จาก “Limit Order” “Stop Order” และ “Market Order” ตัว “Amount” ที่แสดงอยู่ใน ThinkTrader คือขนาดของสัญญาดังนั้น 100,000 บนพวกคู่สกุลเงินหลักจึงเทียบเป็น 1 Lot มาตรฐานเหมือนกับในพวกแพลตฟอร์ม MetaTrader<br /> <br /> <img alt="อินเทอร์เฟซการซื้อขายของ ThinkTrader" src="/getmedia/dd324f62-f025-451a-ac22-be4b1f77cb21/thinktrader-trading-interface.png" title="อินเทอร์เฟซการซื้อขายของ ThinkTrader" width="100%" /><br /> <br /> นอกจากนี้ เมื่อคุณปรับจำนวนสัญญาการซื้อขายของคุณ คุณจะเห็นการเปลี่ยนแปลง “Pip Cost” ซึ่งก็คือ ค่า Pip/Pip Value ที่จะอัพเดทแบบเรียลไทม์ว่ากำไรขาดทุนของคุณเปลี่ยนแปลงไปเท่าใดต่อ Pip<br /> <br /> คุณยังสามารถเปิด “Take Profit” และ “Stop Loss” ได้โดยคลิกที่สองแท็บด้านล่างแล้วใส่ราคาโดยตรง หรือ ใส่เป็นแบบจำนวน Pip หรือ ใช้เมาส์เพื่อปรับ “Take Profit” และ “Stop Loss” โดยการลากบนกราฟโดยตรงได้เลย<br /> <br /> <img alt="ตั้งค่าหยุดการขาดทุนและทำกำไร" src="/getmedia/1ee259af-ca7d-490d-bc63-e39c884c91d1/stop-loss-and-take-profit-setting.png" title="ตั้งค่าหยุดการขาดทุนและทำกำไร" width="100%" /><br /> <br /> สำหรับแพลตฟอร์ม MetaTrader 4 และ 5 คุณสามารถตั้งจุดทำกำไรและตัดขาดทุนได้โดยเปิดหน้าต่าง “New Order” ด้วย F9 เทรดเดอร์สามารถกำหนดราคาเข้าเทรด, จุดตัดขาดทุน, และ จุดทำกำไรได้<br /> <br /> หรือเทรดเดอร์สามารถตั้งค่าคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ (Pending Order) และใช้เมาส์ของคุณเพื่อลากคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการไปยังราคาที่ต้องการ<br /> <br /> <img alt="สั่งซื้อบน MT4 หรือ MT5" src="/getmedia/75389012-48e2-4d21-8c39-7be642c56daf/place-order-on-mt4-or-mt5.png" title="สั่งซื้อบน MT4 หรือ MT5" width="100%" /><br /> <br /> เมื่อคุณวางคำสั่งที่รอดำเนินการ Take Profit และ Stop Loss คุณสามารถใช้เมาส์เพื่อลากคำสั่งที่รอดำเนินการ จุดตัดขาดทุน และ จุดทำกำไร ไปยัง Pip หรือ ราคาที่คุณต้องการได้<br /> <br /> <img alt="ตรวจสอบกำไรและขาดทุนใน forex" src="/getmedia/e486ffa6-a8f1-4a21-9ea2-4b1c7a438b52/check-profit-and-loss-in-forex.png" title="ตรวจสอบกำไรและขาดทุนใน forex" width="100%" /><br /> <br /> หากต้องการตรวจสอกำไรขาดทุนของการเทรดนั้นๆ เพียงวางเมาส์ของคุณไว้บนจุดหยุดขาดทุนและทำกำไร จากนั้นก็จะมีวินโดว์ที่แสดงจำนวนเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐและระยะทางเป็น Point<br /> </p> <h2 id="บทสรุป">4. บทสรุป</h2> <p>การทำความเข้าใจวิธีคำนวณกำไรขาดทุนในตลาด forex และการนำข้อมูลนั้นไปใช้กับการเทรดของคุณสามารถช่วยพัฒนาทักษะการบริหารความเสี่ยงของคุณได้ซึ่งในความเห็นของฉันจากประสบการณ์ที่ได้เจอมาในตลาด Leveraged การบริหารความเสี่ยงคือสิ่งที่แตกต่างระหว่างเทรดเดอร์ที่ทำกำไรได้กับเทรดเดอร์ที่ขาดทุน<br /> <br /> การคำนวณกำไรขาดทุนต้องใช้ตัวแปร 3 ตัว ได้แก่ ขนาด Lot/Lot Size ค่า Pip/Pip Value และ จำนวน Pip เราเพียงคูณตัวแปร 3 ตัวเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้กำไรขาดทุนเป็นตัวเงินจากการเทรดนั้นๆ<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม หากเทรดเดอร์ไม่อยากมานั่งคำนวณซ้ำแล้วซ้ำอีก เทรดเดอร์สามารถลองใช้แพลตฟอร์มของเราได้ไม่ว่าจะบน ThinkTrader, MetaTrader 4 และ 5 เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้จะคำนวณกำไรขาดทุน และ ข้อมูลที่จำเป็นและตัวแปรสำคัญอื่นๆ ให้สำหรับเทรดเดอร์ทันที่<br /> </p>
Forex คืออะไร? บทนำสู่การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
<style type="text/css">.custom-list-container ul li{ display: flex; padding-bottom: 0px; flex-direction: column; } .custom-list-container ul li h4{ margin-top: -24px; } .custom-list-container p{ padding-left: 0em; margin-bottom: 2em; } .custom-list-container{ margin-top: 24px; } </style> <p>คุณอาจเคยได้ยินคนบนท้องถนนหรือโฆษณาบนสื่อที่พูดถึง Forex แต่ <strong>Forex คืออะไร</strong>? ส่วนที่น่าสนใจของ Forex คืออะไร? ใครคือผู้เล่นในตลาดนี้? ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อขายในตลาด Forex มีอะไรบ้าง? และปัจจัยใดที่ขับเคลื่อนราคาในตลาด Forex?<br /> </p> <p>ในบทความนี้ เราจะได้ทราบคำตอบของคำถามข้างต้นทั้งหมด<br /> </p> <h2>Forex คืออะไร?</h2> <p>Forex Exchange หรือ Forex (FX) คือตลาดที่เราซื้อขายสกุลเงินต่างประเทศและอนุพันธ์ของสกุลเงิน โดยแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งกับอีกสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งทำให้มีข้อมูลอีกชิ้นหนึ่งระบุว่าสกุลเงินต่างๆ จะถูกซื้อขายเป็นคู่ เช่น <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EUR/USD</a>, USD/JPY<br /> </p> <p>เมื่อเราซื้อขายฟอเร็กซ์ โดยทั่วไปแล้วเราจะซื้อสกุลเงินหนึ่งและขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน<br /> </p> <p>*การซื้อขายฟอเร็กซ์มักถูกสับสนกับการซื้อขาย CFD (สัญญาส่วนต่าง) ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ เช่น ดัชนี หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินดิจิทัล แม้ว่าสินทรัพย์ที่มีให้เลือกอาจแตกต่างกันไปตามโบรกเกอร์ เราจะมาเรียนรู้เกี่ยวกับ CFD ในบทความอื่น<br /> </p> <h2>ตลาด Forex คืออะไร?</h2> <p>ตลาดฟอเร็กซ์หรือที่เรียกกันว่าตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ<strong> </strong>หมายถึง<strong>ตลาดโลกที่จับคู่และแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่าง ๆ </strong>ตลาดนี้เปิดทำการตลอด<strong> 24 ชั่วโมง 5 วัน</strong>ต่อสัปดาห์<br /> </p> <p>อย่างไรก็ตาม ตลาดฟอเร็กซ์ไม่ได้เป็นสถานที่ทางกายภาพเหมือนกับพื้นที่ซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก แต่การซื้อขายเหล่านี้จะดำเนินการผ่านระบบ <strong>Over The Counter (OTC)</strong> ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของการซื้อขายแบบ<strong>กระจายอำนาจผ่านนายหน้า</strong> การซื้อขายเกิดขึ้นโดยตรงระหว่างสองฝ่ายโดยไม่มีหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้มีความยืดหยุ่นมากกว่าในตลาดอื่นๆ<br /> </p> <h2>ทำความเข้าใจคู่สกุลเงิน</h2> <p>คู่สกุลเงินคือคู่ที่ประกอบด้วยสกุลเงินสองสกุลที่แตกต่างกัน ด้านล่างนี้เป็นคำแนะนำทีละขั้นตอนในการอ่านคู่สกุลเงิน</p> <h3 style="font-size:22px">1. ชื่อและรหัสของสกุลเงิน</h3> <p>สกุลเงินแต่ละสกุลจะมีรหัสย่อของตัวเอง ต่อไปนี้คือรหัสและชื่อของสกุลเงินหลัก:</p> <img alt="ภาพประกอบและชื่อสกุลเงินหลักของโลก" src="/getmedia/08294f9b-d67d-4f52-acdb-9724656f12e9/codes-and-names-of-major-currencies.webp" title="ภาพประกอบและชื่อสกุลเงินหลักของโลก" width="100%" /> <ul> <li>USD – ดอลลาร์สหรัฐฯ (สหรัฐอเมริกา)</li> <li>EUR – ยูโร (ยูโรโซน)</li> <li>JPY – เยนญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น)</li> <li>GBP – ปอนด์อังกฤษ (สหราชอาณาจักร)</li> <li>AUD – ดอลลาร์ออสเตรเลีย (ออสเตรเลีย)</li> <li>CAD – ดอลลาร์แคนาดา (แคนาดา)</li> <li>CHF – ฟรังก์สวิส (สวิตเซอร์แลนด์)</li> <li>NZD – ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (นิวซีแลนด์)</li> </ul> <h3 style="font-size:22px">2. สกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิง</h3> <p>หลังจากที่เรารู้รหัสของสกุลเงินแต่ละสกุลแล้ว เราก็ต้องรู้จักสกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิงในคู่สกุลเงินนั้น ๆ ทุกครั้งที่เราพิจารณาคู่สกุลเงินใดคู่หนึ่ง เราจะเห็นสกุลเงิน <strong>2 สกุลเสมอ คือ สกุลหนึ่งเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง</strong></p> <img alt="สกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิง" src="/getmedia/ce417ea2-14de-46af-a70a-3dd36ef5aaea/base-and-quote-currency.webp" title="สกุลเงินฐานและสกุลเงินอ้างอิง" width="100%" /> <p><br /> <strong>สกุลเงินแรก</strong>ในคู่เรียกว่า<strong>สกุลเงินฐาน (Base Currency)</strong> ซึ่งเป็นรหัสที่อยู่ทางด้านซ้ายมือของคู่ <strong>สกุลเงินที่สอง</strong>ในคู่เรียกว่า<strong>สกุลเงินอ้างอิง (Quote Currency)</strong> ซึ่งจะอยู่ทางด้านขวามือของคู่<br /> </p> <p>สกุลเงินพื้นฐานและสกุลเงินอ้างอิงเป็นพื้นฐานของคู่สกุลเงิน ตัวอย่างเช่น EURUSD มี EUR เป็นสกุลเงินพื้นฐานและ USD เป็นสกุลเงินอ้างอิง<br /> </p> <p>ดังนั้น เมื่อทำ Long หรือซื้อ EURUSD หมายความว่าคุณกำลังขาย USD เพื่อซื้อ EUR ในทางกลับกัน หากทำ Short หรือขาย หมายความว่าคุณกำลังขาย EUR เพื่อซื้อ USD<br /> </p> <p>โดยปกติแล้ว มูลค่าของสกุลเงินพื้นฐานจะเท่ากับ 1 และมูลค่าของสกุลเงินจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ และราคาเสนอซื้อและเสนอขายก็แตกต่างกันด้วย<br /> </p> <h3 style="font-size:22px">3. ประเภทของคู่สกุลเงิน</h3> <p>แม้ว่าสกุลเงินทั้งหมดจะซื้อขายกันเป็นคู่ แต่ก็มีบางหมวดหมู่ที่แบ่งคู่สกุลเงินเหล่านี้ออกได้ คู่สกุลเงินแบ่งออกเป็น <strong>3 หมวดหมู่หลัก</strong> ตั้งแต่คู่ที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดไปจนถึงคู่ที่ไม่มีการซื้อขายเป็นประจำ</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4 style="font-size:18px">คู่สกุลเงินหลัก:</h4> </li> </ul> <p>คู่สกุลเงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดและมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด สกุลเงินหลักของโลกที่จับคู่กับ USD ซึ่งเป็นสกุลเงินจากเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตัวอย่างของคู่สกุลเงินหลัก ได้แก่ EURUSD, USDJPY, GBPUSD และอื่นๆ อีกมากมาย</p> <ul> <li> <h4 style="font-size:18px">คู่สกุลเงินรอง:</h4> </li> </ul> <p>คู่สกุลเงินที่มีปริมาณการซื้อขายสูงแต่ต่ำกว่าคู่สกุลเงินหลัก โดยทั่วไปคู่สกุลเงินหลักทั่วโลกจะจับคู่กันเอง ยกเว้น USD ตัวอย่างของคู่สกุลเงินเหล่านี้ ได้แก่ EURGBP, GBPJPY, EURJPY เป็นต้น</p> <ul> <li> <h4 style="font-size:18px">คู่สกุลเงินเอ็กโซติค (Exotic):</h4> </li> </ul> </div> <p>เป็นสกุลเงินที่ไม่ได้มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลายแต่ยังคงมีให้ซื้อขายได้ สกุลเงินเหล่านี้มาจากประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจน้อยกว่า ตัวอย่างของสกุลเงินเหล่านี้ ได้แก่ USDTHB, USDZAR, USDSGD เป็นต้น<br /> </p> <h2>ใครคือผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด Forex?</h2> <p>มีผู้เล่นหลายรายภายในตลาดฟอเร็กซ์ตั้งแต่บุคคลธรรมดาไปจนถึงบริษัทหลายพันล้าน</p> <h3 style="font-size:22px">1. ธนาคารกลาง</h3> <p>ธนาคารแห่งชาติของแต่ละประเทศที่ควบคุมนโยบายการเงินของแต่ละประเทศ เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) ฯลฯ</p> <h3 style="font-size:22px">2. ธนาคารพาณิชย์</h3> <p>ธนาคารพาณิชย์คือธนาคารที่ประชาชนอย่างเราคุ้นเคยในการติดต่อกันทุกวัน เช่น JPMorgan Chase, Citibank, Goldman Sachs, Capital One Bank เป็นต้น</p> <h3 style="font-size:22px">3. กองทุนป้องกันความเสี่ยงและบริษัทการลงทุน (Hedge Fund)</h3> <p>เหล่านี้เป็นกองทุนส่วนตัวที่ผู้เชี่ยวชาญจะลงทุนเงินของคุณและรับส่วนแบ่งจากกำไรที่ทำได้ เช่น Citadel LLC, Renaissance Technology, Bridgewater Associates และบริษัทการลงทุนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน</p> <h3 style="font-size:22px">4. บริษัทข้ามชาติ</h3> <p>บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่บางแห่งที่มีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ยังมีแนวโน้มที่จะถือหรือป้องกันความเสี่ยงของสกุลเงินที่พวกเขาจะต้องใช้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโครงการหรือการทำงานให้กับบริษัทของพวกเขา การทำเช่นนี้ช่วยป้องกันความผันผวนของต้นทุนอันเนื่องมาจากตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา</p> <h3 style="font-size:22px">5. ผู้ค้าปลีก</h3> <p>ผู้ค้าปลีกคือบุคคลที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหรือองค์กรใดๆ และพยายามแสวงหากำไรจากความผันผวนภายในตลาด<br /> </p> <p>ผู้เล่นเหล่านี้ล่วนมีส่วนร่วมในตลาด Forex ไม่มากก็น้อย ผลิตภัณฑ์ที่เราซื้อขายในตลาด Forex คือสกุลเงิน และ ในบทต่อไปนี้ เราจะเรียนรู้พื้นฐานของคู่สกุลเงิน<br /> </p> <h2>ปัจจัยที่มีผลต่อคู่เงินฟอเร็กซ์ (ปัจจัยพื้นฐานของฟอเร็กซ์)</h2> <p>มีปัจจัยต่างๆ มากมายที่ส่งผลต่อราคาของคู่สกุลเงินในตลาดฟอเร็กซ์ ปัจจัยที่พบบ่อยที่สุดประการหนึ่งคือ<strong>ปัจจัยมหภาค</strong>ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจของแต่ละประเทศในวงกว้างและส่งผลโดยตรงต่อ<strong>อุปทานและอุปสงค์</strong>ของสกุลเงินแต่ละสกุล<br /> </p> <p>เราจะครอบคลุมถึงปัจจัยมหภาคที่สำคัญบางประการที่อาจส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อตลาดฟอเร็กซ์</p> <h3 style="font-size:22px">1. อัตราเงินเฟ้อ</h3> <p>เงินเฟ้อคือการลดลงของอำนาจซื้อของเงิน และอัตราเงินเฟ้อคืออัตราที่เกิดขึ้น<br /> </p> <p>ข้อมูลนี้ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดโดยธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ซึ่งแต่ละประเทศจะมีนโยบายการเงินของตนเองเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อนี้ให้อยู่ใน “อัตราที่เหมาะสม” ตามนโยบายของตนเอง</p> <h3 style="font-size:22px">2. อัตราดอกเบี้ย</h3> <p>อัตราดอกเบี้ยคือต้นทุนในการกู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อในแต่ละประเทศ</p> <h3 style="font-size:22px">3. การเติบโตทางเศรษฐกิจ</h3> <p>การเติบโตทางเศรษฐกิจวัดได้จากหลายปัจจัยที่ประกอบขึ้นจากภาคส่วนต่างๆ ของรายงานเศรษฐกิจ ข้อมูลเหล่านี้อาจมาจากภาวะตลาดแรงงาน การเติบโตหรือการหดตัวของภาคส่วนต่างๆ ในตลาด และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย<br /> </p> <p>แต่ตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจเหล่านี้มีการรายงานตาม<a href="/th/trading-academy/thinktrader/calendar-interface/" target="_blank">ตารางในปฏิทินเศรษฐกิจ</a> ข้อมูลที่สามารถบ่งชี้ถึงสภาพตลาดแรงงานได้ เช่น ข้อมูลการยื่นขอสวัสดิการว่างงาน อัตราการว่างงาน การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตร รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง และอื่นๆ</p> <h3 style="font-size:22px">4. เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์</h3> <p>เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์อาจเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนและเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดจากปัญหาต่างๆ ทั่วโลกที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง<br /> </p> <p>ตัวอย่างของเหตุการณ์เหล่านี้ ได้แก่ สงคราม โรคระบาด วิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาโลกอื่นๆ</p> <h3 style="font-size:22px">5. การเก็งกำไรทางการตลาด</h3> <p>การเก็งกำไรในตลาดเป็นรูปแบบหนึ่งของอารมณ์ของตลาด โดยตลาดโดยรวมอาจเกิดความมั่นใจหรือหวาดกลัวต่อการลงทุน บางครั้งเราอาจเห็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงเกินไปหรือต่ำเกินไป ซึ่งเป็นผลมาจากความกลัวและความโลภภายในตลาด<br /> </p> <h2>บทสรุป</h2> <p>ในบทความนี้ เราได้เรียนรู้ว่า Forex หรือ Foreign Exchange ตลาด Forex เป็นสถานที่ (OTC) สำหรับผู้เข้าร่วมในการซื้อหรือขายสกุลเงิน มีผู้เล่นรายใหญ่บางรายที่เคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้งในตลาดนี้<br /> </p> <p>ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อขายในตลาด Forex คือสกุลเงิน และสกุลเงินมักจะซื้อขายเป็นคู่ สกุลเงินทางด้านซ้ายมือคือสกุลเงินฐานและสกุลเงินทางด้านขวามือคือสกุลเงินอ้างอิง มีสกุลเงิน 8 ประเภทที่ซื้อขายบ่อยครั้ง คู่สกุลเงินเหล่านี้เรียกอีกอย่างว่าสกุลเงินหลัก<br /> </p> <p>มีปัจจัยบางอย่างที่เราต้องตระหนักหากต้องการเก็งกำไรมูลค่าของสกุลเงิน เช่น อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง การเติบโตทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์</p>
การซื้อขาย Forex คืออะไร? คู่มือสำหรับมือใหม่ในการเทรด Forex
<p>ตลาด <a href="https://www.thinkmarkets.com/th/trading-academy/forex/what-is-forex/" target="_blank">forex</a> หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณการซื้อขายรายวันอยู่ที่ 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีปริมาณการซื้อขาย 200,000-500,000 พันล้านดอลลาร์อย่างมาก ทำให้การเทรดและเลี้ยงชีพด้วยการเทรด forex เป็นไปได้<br /> <br /> ก่อนอื่น เราต้องรู้พื้นฐานพื้นฐานของ forex ก่อน แม้ว่าการเทรด forex อาจดูซับซ้อนเนื่องจากศัพท์เทคนิครวมถึงกราฟที่ยุ่งยาก แต่เราสามารถจัดการได้ง่ายขึ้นหากเทรดเดอร์มีความคุ้นเคยในตลาดแล้ว<br /> <br /> ดังนั้น ในบทความนี้ เราจะแจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับข้อมูลสำคัญทั้งหมดของตลาด forex ที่จะพัฒนาคุณจากมือใหม่ให้กลายเป็นมืออาชีพในการเทรด forex การเดินทางในตลาดนี้อาจยาวนาน แต่ก็คุ้มค่า</p> <h2>การซื้อขาย Forex คืออะไร?</h2> <p>การลงทุนในตลาด forex นั้นเกี่ยวข้องกับการ<strong>ซื้อและขายสกุลเงิน</strong> มันคือการแปลงสกุลเงินหนึ่งเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ นักลงทุน บริษัทข้ามชาติ ฯลฯ สามารถแปลงสกุลเงินของตนเป็นสกุลเงินหรือสินทรัพย์อื่นได้ มันคือการดำเนินการในระดับโลกที่สกุลเงินจากประเทศต่างๆ<br /> <br /> แต่ที่จุดเริ่มต้นในตอนนี้ เราจะมุ่งเน้นเฉพาะส่วนของการเทรด forex ที่ช่วยให้เราเก็งกำไรราคาของคู่สกุลเงิน forex และ กำไรจากการเก็งกำไรเหล่านั้น<br /> <br /> มี 2 วิธีในการ<strong>สร้างกำไรในการเทรด Forex:</strong><br /> </p> <ul> <li><strong>ซื้อ (Long) คู่สกุลเงิน (EUR/USD):</strong><br /> <br /> เมื่อเราคาดการณ์ว่ามูลค่าของสกุลเงินฐาน (EUR) จะแข็งกว่าสกุลเงินอ้างอิง (USD) เราสามารถเข้าสู่ตำแหน่งซื้อใน <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EUR/USD</a> ได้<br /> <br /> เมื่อค่าเงินฐาน (EUR) สูงกว่าค่าเงินอ้างอิง (USD) เราก็จะกำไรได้ แต่ถ้าสถานการณ์จริงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็อาจเกิดการขาดทุนได้</li> </ul> <ul> <li><strong>ขาย (Short) คู่สกุลเงิน (USD/JPY):</strong><br /> <br /> เมื่อเราคาดการณ์ว่าค่าเงินฐาน (USD) จะอ่อนค่าลงกว่าค่าเงินอ้างอิง (JPY) เราสามารถเปิดสถานะขายชอร์ต USD/JPY ได้<br /> <br /> เมื่อค่าเงินฐาน (USD) อ่อนค่าลงกว่าค่าเงินอ้างอิง (JPY) เราก็จะได้กำไร แต่ถ้าสถานการณ์จริงเป็นไปในทางตรงกันข้าม ก็จะเกิดการขาดทุน<br /> <br /> มีหลายวิธีในการซื้อขาย forex ผ่านสัญญาการเทรดต่างๆ ในบทต่อไปนี้เราจะแนะนำชนิดของสัญญาเทรด forex ที่พบได้ทั่วไปที่สุด</li> </ul> <h2>ประเภทของผลิตภัณฑ์ Forex ที่เราสามารถเทรดได้</h2> <p>ตลาด forex มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายประเภท เนื่องจากมีสัญญาและผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายประเภทที่สร้างขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างกัน ด้านล่างนี้คือผลิตภัณฑ์ทางการเงินทั่วไปบางส่วน:</p> <h3>1. Forex Spot:</h3> <p>ตลาดสปอตหมายถึงสัญญาประเภทหนึ่งที่ผลิตภัณฑ์ทางการเงินจะถูกซื้อขายทันทีเพื่อแลกกับเงินสดเมื่อทำการซื้อขาย สัญญาประเภทนี้เหมาะกับการลงทุนการลงทุนระยะยาวมากกว่า</p> <h3>2. Forex Forwards:</h3> <p>ตลาดฟอร์เวิร์ดเป็นสัญญาอีกประเภทหนึ่งที่ทำขึ้นระหว่างสองฝ่ายเพื่อป้องกันความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถล็อกอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงินเพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนเมื่อทำข้อตกลง/โครงการ</p> <h3>3. Forex Futures</h3> <p>สัญญาฟิวเจอร์สเป็นข้อตกลงในการซื้อ/ขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดในอนาคต สัญญาฟิวเจอร์สสามารถใช้เป็นการป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดความเสี่ยงหรือใช้ในการเทรดเพื่อเก็งกำไรในตลาด</p> <h3>4. Forex CFDs:</h3> <p>CFDs หรือสัญญาส่วนต่างเป็นสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อการเทรดแบบเก็งกำไรโดยเฉพาะ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ทำให้ลดต้นทุนของธุรกรรมได้ ซึ่งช่วยให้ผลิตภัณฑ์ CFD มี<a href="/th/trading-academy/terminologies/leverage-and-margin/" target="_blank">เลเวอเรจ</a>ที่สูงขึ้น ต้นทุนการเทรดที่ลดลง และสามารถเทรดได้ทั้งแบบ long และ short</p> <h2>อ่านราคา Forex ได้อย่างไร?</h2> <p>ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด forex คุณต้องรู้วิธีการอ่านราคาคู่สกุลเงิน ด้านล่างนี้คือราคาคู่สกุลเงิน (EURUSD):</p> <img alt="สเปรดราคาซื้อ-ขายของ EURUSD" src="/getmedia/dbf288a9-480d-4ec2-9484-ea22392b87db/bid-ask-spread-of-eur-usd.webp" title="สเปรดราคาซื้อ-ขายของ EURUSD" width="100%" /> <p><br /> ภายในใบเสนอราคานี้ มีข้อมูลหลายส่วน ตามภาพด้านบน</p> <h3>1. รหัสและชื่อของคู่สกุลเงิน</h3> <p>ทางด้านซ้ายมือของใบเสนอราคาจะแสดงรหัสของคู่สกุลเงิน (EURUSD) ด้านล่างของรหัสจะเป็นชื่อจริงของคู่สกุลเงิน (ยูโรเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ)</p> <h3>2. ราคาเสนอซื้อ</h3> <p>ทางด้านขวามือจะมีตัวเลขมากมาย ช่องที่ 1 จะแสดงราคาเสนอซื้อสกุลเงิน เมื่อเราต้องการเข้าสถานะขาย ราคาเสนอซื้อจะเป็นราคาที่เราจะอ้างอิงถึง</p> <h3>3. ราคาเสนอขาย</h3> <p>พื้นที่หมายเลข 2 แสดงราคาเสนอขายสกุลเงินนั้นๆ เมื่อเราต้องการเข้าสถานะซื้อ ราคาเสนอขายคือราคาที่เราจะอ้างอิงถึง</p> <h3>4. สเปรด</h3> <p>คอลัมน์สีขาวระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย แสดงค่าสเปรดส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย ต้นทุนการเทรดจะเพิ่มขึ้นเมื่อค่าสเปรดระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายเพิ่มขึ้น</p> <h3>5. ราคาต่ำสุด</h3> <p>ตัวเลขด้านล่างราคาเสนอซื้อแสดงราคาต่ำสุดของวัน</p> <h3>6. ราคาสูงสุด</h3> <p>ตัวเลขด้านล่างราคาเสนอขายแสดงราคาสูงสุดของวัน<br /> </p> <p>เราจะอธิบายส่วนประกอบเหล่านี้โดยละเอียดในบทความ Bid, Ask & Spreads</p> <h2>Pips and pipette (ticks) ในการเทรด forex</h2> <p>Pip คือหน่วยวัดที่ใช้ระบุการเปลี่ยนแปลงของค่าในคู่สกุลเงิน โดยมีค่าประมาณ 0.0001 เซ็นต์ในคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ เมื่อคู่สกุลเงินขยับขึ้น 1 pip หมายความว่าค่าของคู่สกุลเงินจะเพิ่มขึ้น 0.0001 ในกรณีส่วนใหญ่<br /> </p> <img alt="Pip และ Pipette" src="/getmedia/723617c1-9ff8-45fc-9232-6c78bf89fc36/pip-and-pipette-in-forex.webp" title="Pip และ Pipette " width="70%" /> <p><br /> ข้อมูลนี้จำเป็นต่อการคำนวณผลกำไรจากการเทรดของคุณ ดังนั้น คุณต้องทราบรายละเอียดเกี่ยวกับ Pip ก่อนเริ่มเส้นทางการเทรด Forex</p> <h2>จะทำกำไรจากการเทรด forex ได้อย่างไร?</h2> <p>มีสองวิธีในการสร้างกำไรจากการเทรด forex :</p> <h3>1. ซื้อ (Long):</h3> <p>เมื่อคุณซื้อในตลาด คุณคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น</p> <img alt="ทำกำไรจากการซื้อขายฝั่งซื้อ/Long" src="/getmedia/6113bb97-caa6-43ce-90ca-68f89a6221f9/making-profit-in-long-position.webp" title="MACD指標是什麼?" width="100%" /> <p><br /> เมื่อราคาขึ้นเราก็ได้กำไร แต่เมื่อราคาลงเราก็ขาดทุน</p> <h3>2. ขาย (Short):</h3> <p>เมื่อคุณทำการขายแบบ Short ในตลาด คุณคาดหวังว่าราคาจะลดลง</p> <img alt="ทำกำไรจากการซื้อขายฝั่งขาย/Short" src="/getmedia/208efbdf-7564-429a-a00c-4c62242bdf33/making-profit-in-short-position.webp" /> <p><br /> เมื่อราคาลดลง เราก็จะสร้างกำไร แต่เมื่อราคาเพิ่มขึ้น เราก็จะขาดทุนตรงข้ามกันไป</p> <h2>ต้นทุนในการเทรด forex มีอะไรบ้าง?</h2> <p>ต้นทุนในการเข้าสู่การเทรดอาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุณกังวลเมื่อเข้าสู่ตลาดการเทรด เนื่องจากคุณอาจเคยได้ยินมาว่าการเทรดฟิวเจอร์สอาจมีค่าใช้จ่ายมากถึง $5,000 - $10,000<br /> <br /> ด้วยสัญญา CFD ข้อกำหนดเบื้องต้นในการเทรดนั้นจะน้อยกว่ามาก เนื่องจากคุณสามารถเทรดสัญญา CFD แบบไมโครล็อตด้วยเงิน $30 - $100 ได้ ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์ที่มีทุนน้อยกว่าสามารถเข้าสู่การเทรดได้อย่างง่ายดาย<br /> </p> <h3>1. ข้อกำหนดด้านเงินทุน</h3> <p>เนื่องจากความผันผวนของราคาในตลาด forex นั้นต่ำ ดังนั้นขนาดการเทรดในตลาด forex จึงต้องมีขนาดใหญ่ขึ้น<br /> <br /> เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ไม่มีเงินทุนมากพอที่จะเทรดสัญญาที่มีขนาดใหญ่ ดังนั้นโบรกเกอร์ต่างๆ จึงเสนอ<strong>เลเวอเรจ</strong>เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเทรดในตลาด forex ข้อกำหนดเพียงอย่างเดียวคือต้องใส่เงินทุนจำนวนเล็กน้อยที่ถือเป็นกองทุนค้ำประกัน (Required Margin)</p> <h3>2. ต้นทุนจริงในการเทรด</h3> <p>มีค่าใช้จ่ายหลายประการที่คุณจำเป็นต้องทราบก่อนจะเริ่มเทรด:</p> <style type="text/css">.custom-list-container ul li{ display: flex; padding-bottom: 0px; flex-direction: column; } .custom-list-container ul li h4{ margin-top: -23px; } .custom-list-container p{ padding-left: 0em; margin-bottom: 2em; } .custom-list-container{ margin-top: 24px; } </style> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าสเปรดของสินทรัพย์</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">แสดงถึงความแตกต่างระหว่างราคา<strong>เสนอซื้อ</strong> (Bid) และราคา<strong>เสนอขาย</strong> (Ask) ของคู่สกุลเงิน โบรกเกอร์ทำเงินจากความแตกต่างนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายๆที่ ที่การเทรดที่ไม่มีค่าคอมมิชชัน<br /> <br /> <strong>ค่าสเปรดที่มากขึ้น</strong>จะเพิ่มต้นทุนในการเทรด โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีการเทรดบ่อยครั้ง ในทางกลับกัน <strong>ค่าสเปรดที่แคบลง</strong>จะช่วยลดต้นทุนการเทรดของเรา</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าคอมมิชชั่น</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เป็นต้นทุนโดยตรงต่อการเทรด ซึ่งเรียกเก็บโดยนายหน้าเพื่อดำเนินการเทรดในนามของเทรดเดอร์ โครงสร้างค่าธรรมเนียมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับนายหน้า ประเภทบัญชี และปริมาณการเทรด</p> <p style="padding-left:1.5em">โดยปกติแล้ว จะมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชันจากบัญชีที่มีสเปรด 0 และประเภทบัญชีที่มีสเปรดคงที่</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าธรรมเนียมสวอป</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">สำหรับเทรดเดอร์ที่วางแผนจะถือครองการเทรดข้ามคืน <a href="/th/trading-academy/terminologies/swaps/" target="_blank">ค่าธรรมเนียมสวอป</a>จะต้องถูกนำมาคิดรวมด้วย นี่คือต้นทุนการกู้ยืมของสกุลเงินแต่ละสกุลซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย</p> <h2>ควรที่จะเทรด forex ตอนไหน?</h2> <p>มีสามเซสชันการซื้อขายหลักที่จะมีสภาพคล่องสูงและมีกิจกรรมภายในตลาด ได้แก่ เซสชันยุโรป เซสชันอเมริกาเหนือ และเซสชันเอเชีย<br /> </p> <ul> <li>London Session: 3:00 PM – 11:00 PM</li> <li>New York Session: 8:00 PM – 5:00 AM</li> <li>Asian Session: 5:00 AM – 4:00 PM<br /> </li> </ul> <p>แต่โดยปกติแล้วการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดจะถึงจุดสูงสุดในช่วงเปิดเซสชั่น โดยในช่วงเปิดเซสชั่นนี้ ตลาดมักจะผันผวนมากที่สุด<br /> <br /> คุณจะเห็นได้ว่ากิจกรรมของแต่ละคู่อาจเฉพาะเจาะจงในแต่ละเวลา ตัวอย่างเช่น <a href="/th/gbp-usd/" target="_blank">GBP/USD</a> จะเคลื่อนไหวมากในช่วงเซสชั่นลอนดอนและนิวยอร์ก แต่จะสงบกว่าในช่วงเซสชั่นเอเชีย<br /> <br /> หากคุณเป็นเดย์เทรดเดอร์ (Day Trader) ข้อมูลนี้สามารถช่วยคุณเลือกเวลาและสินทรัพย์ที่เหมาะสมก่อนเทรดในช่วงเวลาต่างๆได้</p> <h2>จะเริ่มเทรด forex อย่างไร?</h2> <p>การที่จะซื่อขาย forex นั้นง่ายมากหากคุณปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้:<br /> </p> <h3>1. เรียนรู้แนวคิดพื้นฐานของการซื้อขาย forex</h3> <p>ก่อนลงทุนด้วยเงินจริง คุณต้องเรียนรู้แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการทำงานของ forex และศัพท์เทคนิคทั้งหมดที่ใช้ในสาขานี้<br /> <br /> การทำความเข้าใจแนวคิดสำคัญที่ครอบคลุมในหัวข้อก่อนหน้า เช่น คู่สกุลเงิน สเปรด พิป ล็อต เลเวอเรจ และมาร์จิ้น ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการเทรด forex ทำงานอย่างไร</p> <h3>2. เลือกโบรกเกอร์ forex ที่เชื่อถือได้</h3> <p>โบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้นั้นเป็นสิ่งที่สําคัญในโลกของ forex ด้านล่างนี้คือปัจจัยบางประการที่คุณต้องพิจารณาเมื่อเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม:</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ใบอนุญาต</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ใบอนุญาตควรเป็นหนึ่งในเกณฑ์หลักในการเลือกโบรกเกอร์ เนื่องจากโบรกเกอร์ที่ไม่ได้รับการควบคุมอาจใช้เงินที่ฝากของคุณไปในทางที่ผิด ในขณะที่โบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมมีแนวทางปฏิบัติที่เข้มงวดซึ่งพวกเขาต้องปฏิบัติตาม มิฉะนั้นพวกเขาจะสูญเสียใบอนุญาต</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>อินเทอร์เฟซผู้ใช้</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เทรดเดอร์จะควรมีอินเทอร์เฟซการเทรดที่ใช้งานง่าย บวกกับ เข้าถึงข้อมูลในตลาดได้ง่าย เพื่อให้นักลงทุนมือใหม่จนถึงมืออาชีพสามารถมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์กราฟได้อย่างเต็มที่ แล้วยังสามารถรักษาไอเดียการเทรดที่ชัดเจนในขณะการเทรด แล้วที่ ThinkMarkets เรามีแพลตฟอร์ม ThinkTrader ที่ใช้ง่ายสะดวกรวดเร็ว พร้อมให้บริการกับลูกค่าทุกท่านที่เปิดบัญชีจริงหรือทดลอง</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ต้นทุนการเทรด</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ต้นทุนการเทรดคือค่าคอมมิชชันที่เทรดเดอร์จะต้องจ่ายไปกับการเทรด เงินที่คุณจ่ายไปอาจจะดูน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นักลงทุนมือใหม่จะต้องระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ คุณอาจจะอยู่ในจุดที่คุณได้กำไรหรือเท่าทุนแต่คอมมิชชันอาจจะทำให้นักลงทุนขาดทุนได้</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความปลอดภัย</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ความปลอดภัยของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญสูงสุด ดังนั้น เราต้องเลือกโบรกเกอร์ที่ให้และส่งเสริมการใช้ Two-Factor Authentication, One-Time Password, การเข้าใจถึงความเสี่ยง หรือการให้ความรู้แก่ลูกค้า เพื่อปกป้องบัญชีของคุณจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างมาก</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>การบริการลูกค้า</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">การเผชิญกับปัญหาที่ไม่พึงประสงค์ขณะทำการเทรดอาจทำให้หงุดหงิดได้ เพราะฉะนั้นทาง ThinkMarkets เลยให้บริการพร้อมสนับสนุนลูกค้าผ่านแชทตลอด 24 ชั่วโมง คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากโบรกเกอร์ได้ทันที</p> <h3>3. สร้างบัญชี & ฝากเงิน</h3> <p>หากคุณเพิ่งเริ่มต้นเทรด คุณอาจลองเปิด<a href="https://portal.thinkmarkets.com/account/individual/demo?lang=th">บัญชีทดลอง</a>เพื่อฝึกฝน เมื่อคุณมั่นใจในกลยุทธ์ของตัวเองแล้ว คุณสามารถเริ่มเทรดในบัญชีจริงด้วยขนาดสัญญาที่เล็กกว่าและทุนที่น้อยกว่า<br /> <br /> หลังจากนั้น ให้ค่อยๆ เพิ่มทุนของคุณหลังจากที่คุณเริ่มต้นที่จะเห็นกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว กับติดตามผลการเทรดของคุณอย่างใกล้ชิด<br /> <br /> ที่ ThinkMarkets เรามีบัญชีประเภทต่างๆ ให้คุณเลือกตามความต้องการของคุณ เรามีบัญชี <strong>Standard</strong> พร้อม<strong>สเปรดต่ำ</strong> หรือ <strong>ThinkZero</strong> พร้อม<strong>สเปรดขั้นต่ำ 0 pip</strong> สำหรับสินทรัพย์ซื้อขายหลักๆ บัญชีประเภทต่างๆ จำเป็นต้องใช้เงินทุนขั้นต่ำที่ต่างกันไป</p> <h3>4. พัฒนาแผนการเทรด</h3> <p>เมื่อทำการเทรด เราจำเป็นต้องพัฒนาแผนการเทรดที่เหมาะกับเรา เราสามารถใช้การผสมผสานวิธีการวิเคราะห์ทั้งสามวิธี ได้แก่ การวิเคราะห์ทางเทคนิค การวิเคราะห์พื้นฐาน รวมถึง การวิเคราะห์อารมณ์ตลาด<br /> <br /> หลังจากที่เราผ่านข้อมูลดังกล่าวแล้ว เราสามารถรวมข้อมูลที่เรารวบรวมมาเพื่อพัฒนาระบบการเทรดของเราเองที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของเรามากที่สุด</p> <h3>5. วางออร์เดอร์เทรดเพื่อเริ่มการเทรด</h3> <p>เมื่อคุณมีระบบการเทรดที่ทดสอบแล้วว่าทำกำไรได้ ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มต้นการเทรด ในบทต่อไปนี้จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการวางคำสั่งการเทรดในตลาด forex</p> <h2>วิธีเข้าสู่ตลาด forex</h2> <p>ในการเริ่มต้นเข้าสู่สมรภูมิ forex เทรดเดอร์จะต้องเลือกแพลตฟอร์มการเทรดก่อน ที่ ThinkMarkets เราให้บริการแพลตฟอร์ม 3 แบบแก่ลูกค้า ได้แก่ MetaTrader 4, MetaTrader 5 อีกทั้ง แพลตฟอร์ม <a href="/th/thinktrader/" target="_blank">ThinkTrader</a> ของเราเอง<br /> </p> <h3>1. MetaTrader 4&5</h3> <p>ก่อนอื่น มาดูกันว่าเราสามารถทำการเทรดบนแพลตฟอร์ม <a href="/th/metatrader4/" target="_blank">MetaTrader 4</a> & 5 ได้อย่างไร แพลตฟอร์ม MetaTrader เป็นแพลตฟอร์มที่เทรดเดอร์ทั่วโลกใช้กันอย่างแพร่หลาย<br /> <br /> การเทรดบนแพลตฟอร์ม MetaTrader คุณสามารถใช้ปุ่ม “New Order” เพื่อเปิดหน้าต่างคำสั่งซื้อ เทรดเดอร์สามารถเลือกเปิดการเทรดโดยใช้แพลตฟอร์มได้</p> <img alt="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม MetaTrader โดยใช้ปุ่มคำสั่ง New Order" src="/getmedia/9ee7b04a-06a8-4b42-8d21-dbe3ed9ba4cb/open-a-trade-on-metatrader-using-new-order-button.webp" title="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม MetaTrader โดยใช้ปุ่มคำสั่ง New Order" width="100%" /> <p><br /> หน้าต่างคำสั่งเทรดจะปรากฏขึ้น ซึ่งเทรดเดอร์สามารถเลือกสินทรัพย์ที่หลากหลายได้ เพื่อส่งคำสั่งเทรดตามราคาตลาดหรือคำสั่งซื้อขายที่รอดำเนินการ</p> <img alt="หน้าต่างคำสั่งซื้อขายบน mt4 และ 5" src="/getmedia/dc0faca5-6cde-4c90-abb9-a797e7b2cd10/trading-window-on-mt4-and-mt5.webp" title="หน้าต่างคำสั่งซื้อขายบน mt4 และ 5" width="100%" /> <p><br /> นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่า stoploss และ take profit สำหรับการเทรดนั้นได้ก่อนที่จะวางคำสั่งเทรดของคุณ</p> <h3>2. ThinkTrader</h3> <p>ถ้าหากลูกค่าเปิดบัญชี ThinkTrader ที่เป็นแพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์ของ ThinkMarkets หากต้องการเริ่มการเทรด เพียงคลิกที่ปุ่มซื้อหรือขายเพื่อเปิดหน้าต่างคำสั่งซื้อขาย</p> <img alt="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" src="/getmedia/91a6c3cb-11e9-404d-8477-3082a6c20e7e/open-trade-on-thinktrader.webp" title="วิธีการเปิดการเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" width="100%" /> <p><br /> เมื่อหน้าต่างการเทรดปรากฏขึ้น เทรดเดอร์สามารถตั้งค่าการเทรดให้เป็นการซื้อหรือขาย ระบุคำสั่งซื้อขายตามตลาดหรือคำสั่งซื้อที่รอดำเนินการ ปรับขนาดล็อต(Lot Sizes)ตั้งค่า Take Profit และ Stop Loss และ ThinkTrader ยังแจ้งข้อมูลสำคัญทั้งหมดให้คุณทราบ เช่น ต้นทุน Pip การใช้มาร์จิ้นโดยประมาณ และมาร์จิ้นคงเหลือ<br /> </p> <img alt="หน้าต่างเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" src="/getmedia/9937ee72-88f9-4d77-ab39-cdd28c7abec0/trading-window-on-thinktrader.webp" title="หน้าต่างเทรดบนแพลตฟอร์ม ThinkTrader" width="100%" /> <p><br /> ต่อไปเราจะอธิบายประเภทคำสั่งต่างๆ ที่ใช้ในการเทรด forex และการใช้งานในแต่ละสถานการณ์</p> <h2>ประเภทคำสั่งในการเทรด forex</h2> <p>สามารถใช้คำสั่งเทรดได้หลายประเภทสำหรับการเทรด คำสั่งเหล่านี้คือคำสั่งที่ราคาตลาดและคำสั่งรอดำเนินการ ประเภทคำสั่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้การวางแผนและการเทรด forex ง่ายขึ้น:</p> <h3>1. คำสั่งที่ราคาตลาด</h3> <p>คำสั่งที่ราคาตลาดคือคำสั่งเทรดที่ดำเนินการตามราคาตลาดปัจจุบัน เมื่อเทรดเดอร์กดส่งคำสั่งซื่อขายทางโบรกเกอร์จะเริ่มต้นดำเนินการให้ทันที</p> <h3>2. คำสั่งรอดำเนินการ</h3> <p>คำสั่งรอดำเนินการซึ่งวางไว้เพื่อรอให้ราคาถอยกลับเพื่อไปถึงราคาที่ดีกว่าในการดำเนินการ</p> <h3>3. คำสั่ง Stop-Loss</h3> <p>คำสั่ง Stop-Loss คือคำสั่งรอดำเนินการอีกประเภทหนึ่งซึ่งจะดำเนินการเมื่อการเทรดถึงราคาที่กำหนดเพื่อออกจากการเทรดที่ขาดทุนและป้องกันไม่ให้ขาดทุนเพิ่มเติม</p> <h3>4. คำสั่ง Take-Profit</h3> <p>คำสั่ง Take-Profit คือคำสั่งรอดำเนินการอีกประเภทหนึ่งซึ่งคำสั่งจะดำเนินการเมื่อการเทรดถึงกำไรเป้าหมายเพื่อออกจากการเทรดที่ชนะแล้วก็เปลี่ยนสินทรัพย์ลอยตัวเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจริง</p> <h2>การวิเคราะห์ในการเทรด forex</h2> <p>มี 3 วิธีในการวิเคราะห์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด ประเมินมูลค่าของทรัพย์สิน และ เก็งกำไรในตลาด</p> <h3>1. การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน</h3> <p>เริ่มต้นจากการวิเคราะห์พื้นฐานหรือการที่ใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตลาด เช่น เศรษฐศาสตร์มหภาค รายได้ของบริษัท รวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นๆอีกมากมาย เพื่อวัดแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของตลาด</p> <h3>2. การวิเคราะห์ทางเทคนิค</h3> <p>การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือการที่ใช้ข้อมูลจากกราฟราคาในอดีตเพื่อระบุแนวโน้มและเก็งกำไรราคาของตลาดในอนาคต ซึ่งเป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นซ้ำๆภายในตลาด หรือ จะเป็นเครื่องมืออย่างตัวอินดิเคเตอร์ที่เป็นสมการทางคณิตศาสตร์ที่รวบรวมและคำนวณข้อมูลสำหรับเทรดเดอร์ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้น</p> <h3>3. การวิเคราะห์เชิงอารมณ์ในตลาด</h3> <p>การวิเคราะห์เชิงอารมณ์หรือการใช้ข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นโดยรวมภายในตลาดเพื่อให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามุมมองทั่วไปมองสินทรัพย์หรือตลาดอย่างไรในขณะนี้ ข้อมูลนี้สามารถรวบรวมได้จากแหล่งต่างๆ เช่น บทความข่าว เนื้อหาโซเชียลมีเดีย เป็นต้น</p> <h2>การเทรด forex มีข้อดีและข้อเสียอะไรบ้าง?</h2> <p>เทรดเดอร์ทุกคนควรทราบข้อดีและข้อเสียก่อนเริ่มเทรด forex เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <h3>1. ข้อดีของการเทรด forex</h3> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">Forex เป็นตลาดระดับโลกที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง ดังนั้นไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม ตลาด forex คือตลาดที่พร้อมให้คุณสร้างผลตอบแทนผ่านการเทรด และ ลงทุนได้เสมอ</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>สภาพคล่องสูง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เนื่องจากเงินที่อยู่ในตลาดนี้มีปริมาณการเทรดมากที่สุดในโลก จึงจะไม่มีปัญหาสภาพคล่องในกรณีที่ไม่สามารถออกจากการเทรดได้ เนื่องจากจะมีคนอื่นอยู่ฝั่งตรงข้ามของการซื้อขายเสมอ</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>เลเวอเรจ</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เป็นเครื่อมือที่โบรกเกอร์อย่าง ThinkMarkets ให้ลูกค้าใช้<strong>เลเวอเรจสูงถึง 1:500</strong> เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะไม่ถูกกีดกันจากการเทรดเนื่องจากเงินทุนของตน</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ค่าธรรมเนียมต่ำ</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เนื่องจากตลาด forex คือตลาดมีสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง โบรกเกอร์จึงพยายามมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าเสมอ ส่งผลให้ต้นทุนและ<strong>ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่ำ</strong></p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>การซื้อขายแบบสองทาง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ไม่เหมือนตลาดหุ้นแบบดั้งเดิมที่เทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวของตลาดที่พุ่งสูงขึ้นเท่านั้น แต่เทรดเดอร์แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ สามารถทำกำไรได้จากการเคลื่อนไหวของราคาไม่ว่าจะสูงขึ้นหรือลดลงก็ได้ ดังนั้นจึงไม่มีช่วงตลาดขาลงที่เทรดเดอร์ไม่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทน</p> <p> </p> <h3>2. ข้อเสียของการเทรด forex</h3> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความผันผวนสูง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีผู้เข้าร่วมมากมายตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงผู้ค้าสถาบัน ตลาดจึงมีอารมณ์ความรู้สึกมากมาย และอารมณ์เหล่านี้คาดเดาไม่ได้ ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนอย่างมาก เพราะฉะนั้นเทรดเดอร์ต้องไม่มีอารมณ์ไปกับการเทรดเพื่อป้องกันไม่ให่มีอคติจากอารมณ์</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความเสี่ยงจากการใช้เลเวอเรจ</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น การใช้เลเวอเรจช่วยเพิ่มความเสี่ยงในการเทรดซึ่งเพิ่มผลกำไรในการเทรด แต่การใช้เลเวอเรจในทางที่ผิดและการใช้เลเวอเรจมากเกินไปอาจทำให้ผู้ค้าขาดทุนเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">อัตราดอกเบี้ยเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความแข็งแกร่งของสกุลเงิน และหากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างกะทันหัน อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนที่ไม่คาดคิดภายในตลาด</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ปัจจัยพื้นฐาน</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">เทรดเดอร์ที่ไม่ทราบรายงานเศรษฐกิจพื้นฐานของสกุลเงินแต่ละสกุลอาจมีความเสี่ยงต่อความผันผวนที่ไม่คาดคิด เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้อาจส่งผลให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาที่รายงาน และผู้ค้าที่ไม่รู้เรื่องอาจจะรับความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว</p> <div class="custom-list-container"> <ul style="padding-left:0.5em"> <li> <h4>ความซับซ้อนสูง</h4> </li> </ul> </div> <p style="padding-left:1.5em">การเป็นเทรดเดอร์ผลิตภัณฑ์การเทรดแบบมีการกู้ยืมทำให้เทรดเดอร์รายใหม่ต้องเผชิญกับความซับซ้อนในระดับที่สูงกว่า แต่การอยู่ในตลาดโลกยังหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ อาจส่งผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อสินทรัพย์ที่คุณกำลังเทรด ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด</p> <h2>สรุป</h2> <p>การเทรด forex เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้ แต่ก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน เนื่องจากความผันผวน ความซับซ้อนของเลเวอเรจและการวิเคราะห์ตลาดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้น จึงจำเป็นต้องมีการจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ หากต้องการประสบความสำเร็จ เทรดเดอร์ต้องเรียนรู้การวิเคราะห์พื้นฐานและทางเทคนิค พัฒนากลยุทธ์การเทรดที่แข็งแกร่ง และคอยอัปเดตเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคและภูมิรัฐศาสตร์<br /> <br /> ด้วยเครื่องมือและคำแนะนำที่เหมาะสมจากโบรกเกอร์ที่มีชื่อเสียง เช่น <a href="/th/">ThinkMarkets</a> คุณสามารถเข้าตลาด forex ได้อย่างมั่นใจมากขึ้นและฝึกฝนเพื่อประสบความสำเร็จในเป้าหมายทางการเงินของคุณ</p>
เวลาเปิดปิดตลาด Forex: เทรดเดอร์ควรซื้อขาย Forex เวลาไหนบ้าง?
<p>ตลาดฟอเร็กซ์มีคู่เงินต่างๆมากมายที่ซื้อขายกันในช่วงเวลาตลาด <a href="/th/trading-academy/forex/what-is-forex/" target="_blank">forex</a> ต่างๆ กัน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์จะต้องเข้าใจว่าตลาด forex เปิดกี่โมงและช่วงเวลาที่แต่ล่ะคู่เงินในตลาด forex จะเคลื่อนไหวมากที่สุด เพื่อที่เทรดเดอร์จะได้ปรับสินทรัพย์ที่เทรดให้เหมาะกับเวลาในการเทรดของตัวเองได้<br /> <br /> ในบทความนี้ เราจะบอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกี่ยวกับเวลาเปิดปิดตลาด forex ซึ่งรวมถึงการเทรดฟอเร็กซ์คืออะไร คู่เงินที่ซื้อขายกันในแต่ละช่วงของวัน ช่วงเวลาทำการของตลาดที่ทับซ้อนกัน ช่วงใกล้ตลาดปิด (นอกเวลาทำการ) และอื่นๆ อีกมากมาย</p> <h2>ชั่วโมงการซื้อขายฟอเร็กซ์คืออะไร?</h2> <p><strong>ชัวโมงการซื้อขายฟอเร็กซ์</strong>คือชั่วโมงการเทรดที่ต่างกันของศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกทั้ง 4 แห่ง แม้ว่าตลาดฟอเร็กซ์จะเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ และสามารถเปิดหรือปิดคำสั่งซื้อขายได้ตลอดเวลา แต่มีช่วงเวลาการเทรดที่ดีกว่ามาก เพราะว่าการตามเวลาที่ตลาด forex เปิดปิดแต่ละประเทศจะทำให้ราคาผันผวน ซึ่งทำให้เทรดเดอร์สามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเหล่านี้ได้</p> <img alt="เขตเวลาตลาดที่แตกต่างกัน" src="/getmedia/037a21bd-18d5-4d31-941f-22d9c689d8a1/different-market-time-zones.webp" title="เขตเวลาตลาดที่แตกต่างกัน" width="100%" /> <p> </p> <p>เซสชั่นการเทรดเหล่านี้แบ่งออกเป็น 4 เซสชั่นหลัก ได้แก่ เซสชั่นซิดนีย์ โตเกียว ลอนดอน และนิวยอร์ก ซึ่งเราจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป</p> <h2>ทำความเข้าใจเซสชั่นตลาดฟอเร็กซ์</h2> <p>ตลาดฟอเร็กซ์นั้นเปิดทำการตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมสำหรับการซื้อขายและสามารถเปิดปิดออร์เดอร์ไดตลอด แต่คุณอาจสังเกตเห็นว่าราคามักจะเคลื่อนไหวในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่ช่วงของแต่ล่ะวัน<br /> <br /> นี่เป็นเพราะว่าในแต่ละวันมีช่วงเวลาตลาดที่ศูนย์การเงินหลักของโลกทำการอยู่ไม่กี่ช่วง เมื่อถึงเวลาเปิดตลาดของประเทศโซนนั้นๆ ตลาดนั้นๆ ก็จะเคลื่อนไหวมากกว่าปรกติเนื่องจากเทรดเดอร์ นักลงทุน หลั่งไหลเข้ามา<br /> <br /> มีช่วงเวลาการเทรดที่สำคัญบางช่วงที่เทรดเดอร์ควรทราบ ซึ่งเราจะอธิบายให้เข้าใจตามรูปภาพด้านล่าง</p> <img alt="เวลาปิดและเปิดทำการของศูนย์การเงินแต่ละแห่ง" src="/getmedia/639b78d9-8498-4483-bcf9-3fe8b721fbcb/closing-and-opening-times-of-major-forex-market-sessions.webp" title="เวลาปิดและเปิดทำการของศูนย์การเงินแต่ละแห่ง" width="100%" /> <p> </p> <h3>1. เซสชั่นซิดนีย์ (Sydney session)</h3> <p>เซสชั่นซิดนีย์หมายถึงช่วงเวลา 5 00 – 13 00 น. (เวลาไทย) ในเวลานี้ สกุลเงินที่จับคู่กับ AUD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย) และ NZD (ดอลลาร์นิวซีแลนด์) ที่มีสภาพคล่องและผันผวนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นเซสชั่น<br /> <br /> รายงานเศรษฐกิจของ AUD และ NZD ที่แสดงอยู่ในปฏิทินเศรษฐกิจที่จะรายงานในช่วงเวลานี้เช่นกัน</p> <h3>2. เซสชั่นโตเกียว (Tokyo session)</h3> <p>เซสชั่นโตเกียวหมายถึงช่วงเวลา 6 00 – 16 00 น. (เวลาไทย) ในเซสชั่นนี้ คู่เงินที่จับคู่กับ JPY (เงินเยนญี่ปุ่น) จะมีสภาพคล่องสูงและผันผวนเนื่องจากการมีส่วนร่วมจากฝั่งญี่ปุ่น<br /> <br /> รายงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับ JPY ที่จะได้รับการรายงานในเวลานี้อีกด้วย</p> <h3>3. เซสชั่นลอนดอน (London session)</h3> <p>เซสชั่นลอนดอนคือช่วงเวลา 15 00 – 23 00 น. (เวลาไทย) ในเซสชั่นนี้ คู่เงินที่จับคู่กับ GBP (ปอนด์อังกฤษ) จะผันผวนและมีสภาพคล่องเป็นพิเศษ<br /> <br /> ข้อมูลเศรษฐกิจของ GBP ที่จะได้รับการรายงานในเวลานี้ นอกจากนี้ ในเซสชั่นนี้ จะมีรายการประจำวันที่เรียกว่า London Fix ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาโลหะ:<br /> </p> <ul> <li><strong>London fix</strong></li> </ul> <p>London Fix คือรายงานที่ราคาที่เหมาะสมของสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เงิน แพลตตินัม ฯลฯ จะได้รับการตกลงกันในรายงานนี้วันละสองครั้ง ราคาที่เหมาะสมจะตกลงกันจากความสนใจซื้อ/ขายของตลาด โดยการตัดสินใจนี้จะทำโดย LMBA (London Bullion Market Association)<br /> <br /> เนื่องจากมีการกำหนดราคาสองครั้งต่อวันตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ โดยการกำหนดราคาครั้งแรกคือเวลาไทย 16 30 น. (เวลาลอนดอน 10 30 น.) และการกำหนดราคาครั้งที่สองจะเกิดขึ้นในเวลาไทย 21 00 น. (เวลาลอนดอน 15 00 น.)</p> <h3>4. เซสชั่นนิวยอร์ก (New York session)</h3> <p>เซสชั่นนิวยอร์กหมายถึงช่วงเวลาระหว่าง 19 00 – 3 00 น. (เวลาไทย) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญและมีผลกระทบต่อตลาดมากที่สุด เนื่องจากในเวลาดังกล่าว USD จะเคลื่อนไหวมากที่สุด และเนื่องจาก USD ถูกจับคู่กับสกุลเงินอื่นๆ เซสชั่นนี้จึงทำให้สินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลกมีสภาพคล่องและผันผวนสูง<br /> <br /> USD ยังเป็นสกุลเงินหลักของโลก และการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตามของ USD อาจส่งผลต่อเศรษฐกิจและตลาดโลกได้ในวงกว้าง</p> <h2>การทับซ้อนของเซสชั่นในตลาด Forex</h2> <p>ช่วงเวลาที่ตลาดสองเซสชันทับซ้อนกัน เช่น ลอนดอน-นิวยอร์ก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของตลาดมากขึ้น</p> <h3>1. ช่วงลอนดอน-นิวยอร์ก คาบเกี่ยวกัน (London-New York overlap)</h3> <p>ดังที่คุณเห็นในภาพประกอบด้านบน มีเวลาระหว่าง 19 00 – 23 00 น. ซึ่งทั้งตลาดลอนดอนและตลาดนิวยอร์กเปิดดำเนินการโดยทับซ้อนกัน<br /> <br /> เวลาที่ตลาดทับซ้อนกันนี้ เทรดเดอร์หลายรายถือว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาการเทรดที่ดีที่สุดของวัน เนื่องจากราคาผันผวนมากและสภาพคล่องสูงสุดตลอดทั้งวัน เนื่องจากทั้งสองแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของโลก ซึ่งหมายความว่าจะมีผู้เข้าร่วมตลาดจำนวนมากจากทั่วโลก<br /> <br /> การที่ผู้ซื้อขายหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากอาจส่งผลให้คู่เงินที่ประกอบด้วย USD, EUR, GBP และ CHF เคลื่อนไหวในระดับที่เห็นได้ชัด ดังนั้นจึงมักพบเห็นการทะลุแนวรับ และ แนวต้านของราคาซึ่งส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวเป็นเทรนด์ในเวลาที่ตลาด ลอนดอน-นิวยอร์ก ทับซ้อนกัน</p> <img alt="ความผันผวนสูงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก" src="/getmedia/2f145548-b864-4eaf-9bc3-e941c44d8775/high-volatility-during-the-london-and-new-york-overlap.webp" title="ความผันผวนสูงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก" width="100%" /> <p> </p> <h3>2. ช่วงโตเกียว-ลอนดอน คาบเกี่ยวกัน (Tokyo-London overlap)</h3> <p>ระหว่างเวลา 15 00 – 16 00 น. คุณจะเห็นการคาบเกี่ยวของเซสชั่นโตเกียวและลอนดอน ภายในเซสชั่นนี้ เราจะสังเกตเห็นว่าคู่เงินที่ผันผวนอย่างต่อเนื่องคือ JPY, AUD, EUR, CHF และ GBP<br /> <br /> อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับการคาบเกี่ยวของลอนดอน-นิวยอร์ก การคาบเกี่ยวของโตเกียว-ลอนดอนจะผันผวนต่ำกว่า และ ตลาดมักจะเคลื่อนที่อยู่ในกรอบ มากกว่า<br /> <br /> ตลาดที่ผันผวนต่ำกว่านี้มักส่งผลให้ตลาดเงียบสงบ และ มีสัญญาณรบกวนน้อยลง ดังนั้นผู้ซื้อขายจึงสามารถใช้สิ่งนี้ให้เป็นประโยชน์เมื่อทำการเทรดภายในเซสชั่นนี้</p> <img alt="ตลาดที่ผันผวนลดลงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดโตเกียว-ลอนดอน" src="/getmedia/2b6172dc-f31d-4efd-a2a0-e2a69b8127c5/reduced-volatility-during-the-tokyo-london-overlap.webp" title="ตลาดที่ผันผวนลดลงระหว่างช่วงคาบเกี่ยวของตลาดโตเกียว-ลอนดอน" width="100%" /> <p> </p> <h2>ข้อดีของการเทรดช่วงคาบเกี่ยว</h2> <p>เทรดเดอร์ที่ทำการซื้อขายในเซสชั่นที่คาบเกี่ยวกันนั้นมีข้อดีอยู่บ้าง</p> <h3>1. สภาพคล่องสูง:</h3> <p>เนื่องจากกระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาจากผู้ซื้อขายและสถาบันต่างๆ จึงไม่มีปัญหาในการจับคู่เมื่อเข้าและออกจาก Order การซื้อขาย</p> <h3>2. ความผันผวนสูง:</h3> <p>ตลาดที่ผันผวนอาจส่งผลให้ราคามีการเปลี่ยนแปลงทำให้ผู้ซื้อขายสามารถทำกำไรได้ ดังนั้นในเซสชั่นเช่นช่วงคาบเกี่ยวของเซสชั่นลอนดอน-นิวยอร์ก ซึ่งผันผวนสูงมาก ทำให้ผู้ซื้อขายสามารถทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงในราคาเหล่านี้ได้</p> <h3>3. โอกาสในการซื้อขายตามข่าว:</h3> <p>ข่าวที่มีผลกระทบมากที่สุด เช่น การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตร <a href="/th/trading-academy/economic-data/non-farm-payroll/" target="_blank">(NFP)</a> ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ฯลฯ เกิดขึ้นช่วงเวลาที่ตลาด ลอนดอน-นิวยอร์ก คาบเกี่ยวกัน</p> <h3>4. การเคลื่อนไหวของราคาที่คาดเดาได้:</h3> <p>ช่วงเวลาที่เซสชั่นตลาดทับซ้อนกัน ตลาด forex จะมีแนวโน้มที่เป็นทิศทาง เนื่องจากราคามีโอกาศที่จะเปลี่ยนจาก Sideways เป็นแบบ Trending จากเงินทุนจำนวนมากที่ไหลเข้าและออกจากตลาด</p> <h2>ข้อเสียของการเทรดช่วงคาบเกี่ยว</h2> <p>นอกจากข้อดีแล้วก็ยังมีข้อเสียข้อที่เทรดเดอร์ควรทราบเมื่อทำการเทรดช่วงคาบเกี่ยวของเซสชั่นเหล่านี้</p> <h3>1. ความเสี่ยงที่สูงขึ้น:</h3> <p>อย่างที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่าตลาดที่ผันผวนขึ้นสามารถช่วยให้ผู้ซื้อขายใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของตลาดได้ แต่ก็อาจจะเสี่ยงสำหรับเทรดเดอร์ที่ไม่มีประสบการณ์ได้เช่นกัน เนื่องจากราคาที่มีการซื้อขายช่วงนี้ผันผวนเร็วกว่าเวลาอื่นมาก</p> <h3>2. การเทรดมากเกินไป:</h3> <p>ตลาดที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงของราคารวดเร็วมากขึ้น และเทรดเดอร์อาจเกิดความคิดที่จะเทรดด้วยขนาดที่ใหญ่มากเกินไป จากที่มีความโลภถึงผลกำไรที่อาจได้รับหากพวกเขาเปิดสัญญาซื้อขายที่ขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดและขาดทุนจำนวนมากในภายหลัง</p> <h3>3. จุดตัดขาดทุนที่กว้างขึ้น:</h3> <p>ในการซื้อขายในช่วงเวลาที่ราคาผันผวนในระดับที่กว้างขึ้น เทรดเดอร์จะต้องวางจุดตัดขาดทุนให้ห่างออกไปเพื่อให้มีความยืดหยุ่นตามที่ต้องการ แต่จุดตัดขาดทุนที่กว้างขึ้นเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญเสียที่มากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจะต้องปรับลดขนาดสัญญาลงตามการจัดการความเสี่ยงของตนเอง</p> <h3>4. สลิปเพจ:</h3> <p>ช่วงประกาศเหตุการณ์ข่าวทำให้ราคาเคลื่อนไหวอย่างไม่แน่นอนและเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที สลิปเพจสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อคำสั่งซื้อของคุณถูกดำเนินการในราคาที่แย่ลง ไม่ว่าจะเป็นการทำกำไรหรือการตัดการขาดทุน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากเทรดเดอร์ไม่ทราบปฏิทินเศรษฐกิจและหลีกเลี่ยงข่าวพวกนี้</p> <h2>เวลาที่ดีที่สุดในการเทรด forex คือเวลาไหน?</h2> <p>แม้ว่าหลายคนอาจจะมีความคิดว่าเวลาที่ดีที่สุดใน<a href="/th/trading-academy/forex/basics-of-forex-trading/" target="_blank">การเทรด forex</a> คือช่วงคาบเกี่ยวลอนดอน-นิวยอร์ก เนื่องจากมีสภาพคล่องสูงและตลาดวิ่งเป็นเทรนด์ แต่เวลา "ที่ดีที่สุด" ในการเทรด forex ต้องมาจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เหมาะสมกับกลยุทธ์การเทรดของคุณมากที่สุด<br /> <br /> หากคุณเป็นนักเทรด forex ที่ทำกำไรแบบ scalping เซสชั่นที่ราคาตลาดอยู่ในกรอบอาจจะเหมาะกับคุณมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากกลยุทธ์ของคุณทำกำไรจากแนวโน้มที่ใหญ่กว่า เซสชั่นที่ราคาวิ่งเป็นเทรนด์อาจเหมาะกับกลยุทธ์นี้มากกว่า</p> <h2>เซสชั่นใดเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดของคุณมากที่สุด?</h2> <p>เนื่องจากเซสชั่นการเทรด forex แต่ละเซสชั่นมีลักษณะเฉพาะที่ต่างกัน เราจึงพยายามทำให้ลักษณะเฉพาะของแต่ละเซสชั่นนั้นเรียบง่ายขึ้น และพยายามค้นหาสินทรัพย์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการซื้อขายในแต่ละเซสชั่น<br /> </p> <h3>1. เซสชั่นซิดนีย์ (Sydney session)</h3> <p>ลักษณะเฉพาะของเซสชั่นซิดนีย์คือปริมาณการซื้อขายที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเซสชั่นอื่นๆ ส่งผลให้สภาพคล่องต่ำกว่าและตลาดเคลื่อนไหวน้อยลง<br /> <br /> แม้ว่าสิ่งนี้อาจส่งผลให้สเปรดกว้างขึ้น แต่เหมาะกับผู้ซื้อขายที่ต้องการหลีกเลี่ยงตลาดที่ผันผวนสูงและผู้ซื้อขายระยะยาวที่ไม่ต้องการราคาที่ผันผวนในระยะสั้นเพื่อขับเคลื่อนตลาดแต่จะมุ่งเน้นการทำกำไรจากแนวโน้มที่ใหญ่กว่า<br /> <br /> โฟกัสของเซสชั่นนี้คือคู่เงิน AUD และ NZD และสินทรัพย์คู่ เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้จะเคลื่อนไหวมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และ ข่าวทางเศรษฐกิจ AUD และ NZD ทั้งหมดจะได้รับการรายงานในช่วงเวลานี้ คู่เงินที่เกี่ยวข้อง จะเป็นคู่ AUDNZD, <a href="/th/aud-usd/" target="_blank">AUDUSD</a>, NZDUSD และ คู่ที่มี AUD & NZD</p> <h3>2. เซสชั่นโตเกียว (Tokyo session)</h3> <p>เซสชั่นโตเกียวเป็นเซสชั่นที่สองที่เปิดตัวหลังจากเซสชั่นซิดนีย์ ซึ่งลักษณะเฉพาะที่ผันผวนน้อยกว่าเซสชั่นลอนดอนและนิวยอร์ก จึงเป็นที่รู้จักในเรื่องการเคลื่อนไหวของราคาที่เสถียรและคาดเดาได้มากกว่า<br /> <br /> ซึ่งเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ซื้อขายภายในกรอบมากกว่าเทรดเดอร์ที่เทรดกับเทรนด์<br /> <br /> คู่เงินที่ใช้งานในเซสชั่นนี้คือสกุลเงิน JPY และสินทรัพย์ที่จับคู่กัน เซสชั่นนี้ยังเป็นเวลาที่รายงานข่าวที่เกี่ยวข้องกับ JPY เช่น แถลงการณ์นโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น รายงาน GDP ของ JPY เป็นต้น คู่เงินที่เกี่ยวข้อง จะเป็นคู่ <a href="/th/usd-jpy/" target="_blank">USDJPY</a>, GBPJPY, EURJPY และ คู่ที่มี JPY เกี่ยวข้องด้วย</p> <h3>3. เซสชั่นลอนดอน (London session)</h3> <p>เซสชั่นลอนดอนเป็นเซสชั่นที่สาม ซึ่งลักษณะเฉพาะจะขึ้นชื่อในเรื่องราคาที่ผันผวนสูงและมีปริมาณการซื้อขายรายวันสูงสุด เซสชั่นนี้เซสชั่นเดียวมีปริมาณการซื้อขายรายวันประมาณ 35% ของทั้งตลาด<br /> <br /> เซสชั่นนี้เหมาะสมกับการซื้อขายที่ต้องการเคลื่อนไหวของราคาครั้งใหญ่ ซึ่งเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ติดตามแนวโน้มราคามากกว่า<br /> <br /> สกุลเงินที่ใช้งานจริงในเซสชั่นนี้คือสกุลเงิน EUR, GBP และ CHF ข้อมูลพื้นฐานของสกุลเงินเหล่านี้ยังรายงานในช่วงเวลานี้ด้วย คู่เงินที่เกี่ยวข้อง ก็จะเป็นคู่ <a href="/th/eur-usd/" target="_blank">EURUSD</a>, GBPUSD, USDCHF, และพวกสกุลเงินยูโรโซน</p> <h3>4. เซสชั่นนิวยอร์ก (New York session)</h3> <p>เซสชั่นนิวยอร์กเป็นอีกเซสชั่นหนึ่งที่ ลักษณะเฉพาะ จะเปิดโอกาสให้เทรดเดอร์ได้ซื้อขายกันอย่างมากมายจากราคาที่มักวิ่งเป็นเทรนด์ เนื่องจากเซสชั่นนี้คิดเป็นประมาณ 17 – 20% ของปริมาณการซื้อขายรายวัน<br /> <br /> ในเซสชั่นนี้ ราคาจะมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปในทิศทางแนวโน้มมากกว่า ดังนั้นเซสชั่นนี้จึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ทำกำไรจากราคาที่วิ่งเป็นแนวโน้ม<br /> <br /> สกุลเงินที่เคลื่อนไหวในเซสชั่นนี้คือ USD ซึ่งจับคู่กับสกุลเงินทั่วโลกส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่เทรดเดอร์หลายคนชอบเซสชั่นนิวยอร์ก นอกจากนี้ รายงานเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังรายงานในเซสชั่นนี้ ซึ่งรวมถึงข้อมูลต่างๆ เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ดัชนีราคาผู้ผลิต เป็นต้นสกุลเงินที่เกี่ยวข้อง ก็จะเป็นสกุลเงินที่จับคู่กับ USD เช่น EURUSD, <a href="/th/gbp-usd/" target="_blank">GBPUSD</a>, USDJPY, และอื่นๆอีกมากมาย</p> <h3>5. ช่วงคาบเกี่ยวของเซสชั่น</h3> <p>การซื้อขายช่วงคาบเกี่ยวระหว่างช่วงลอนดอนและโตเกียวเป็นการซื้อขายที่ค่อนข้างเงียบสงบซึ่งเหมาะกับกลยุทธ์การซื้อขายแบบอยู่ในกรอบราคาจำกัด แต่ช่วงการซื้อขายที่มีสภาพคล่องและผันผวนสูงสุดจะตกเป็นของช่วงคาบเกี่ยวระหว่างลอนดอนและนิวยอร์ก เนื่องจากการซื้อขายนี้ประกอบด้วยเซสชั่นที่มีปริมาณการซื้อขายสูงสุดสองรายการรวมกัน<br /> <br /> ช่วงที่ลอนดอนและนิวยอร์กคาบเกี่ยวกันเป็นช่วงเวลาที่ตลาดลอนดอนกำลังจะปิด และ ตลาดนิวยอร์กเพิ่งเปิด ส่งผลให้ตลาดการเงินทั้งสองแห่งของโลกมีการเคลื่อนไหวพร้อมกัน ซึ่งเมื่อรวมกับข้อมูลเศรษฐกิจของดอลลาร์สหรัฐที่รายงานในขณะนี้ จะทำให้ตลาดมีแนวโน้มวิ่งเป็นเทรนด์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ซื้อขายจ้องจะทำกำไรจากราคาที่แกว่งตัวอย่างรุนแรง<br /> <br /> สินทรัพย์ที่มีการเคลื่อนไหวในเวลานี้คือสกุลเงินยูโรที่จับคู่กับดอลลาร์สหรัฐ เช่น EURUSD, GBPUSD เป็นต้น นอกจากคู่สกุลเงินแล้ว สินค้าโภคภัณฑ์และดัชนียังมีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลานี้เช่นกัน โดยเฉพาะ<a href="/th/gold/" target="_blank">ทองคำ (XAUUSD)</a>, น้ำมันดิบ (WTI), SPX500, US30 และอื่นๆ</p> <h2>เทรดฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการ</h2> <p>ฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการหมายถึงช่วงเย็นวันศุกร์ (5 00 น. ของวันเสาร์ เวลาประเทศไทย) ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาด forex กำลังจะปิดทำการในสุดสัปดาห์ และ ช่วงตลาด forex เปิดทำการในวันอาทิตย์ (5 00 น. ของวันจันทร์ เวลาประเทศไทย) แม้ว่าตลาด forex เปิดอยู่ตอน “นอกเวลาทำการ” แต่ตามเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เกิดการทำการซื้อขายเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยตามเวลาดังกล่าว<br /> <br /> การซื้อขายตอนนอกเวลาทำการดังกล่าวอาจมีความเสี่ยงพอสมควร แต่ก็มีข้อดีในบางมุมมอง ซึ่งเราจะอธิบายให้ในด้านล่าง</p> <h2>ความเสี่ยงในการซื้อขายฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการ</h2> <p>การเทรด forex ในวันที่ตลาดกำลังจะเปิดและปิดอาจทำให้เทรดเดอร์ต้องเจอกับความเสี่ยงเพิ่มเติม ซึ่งเราจะอธิบายเกี่ยวกับความเสี่ยงนี้ด้านล่าง</p> <h3>1. สภาพคล่องลดลง</h3> <p>ช่วงนอกเวลาทำการ มีการทำธุรกรรมน้อยลง ดังนั้น สภาพคล่องภายในตลาดจึงลดลง</p> <h3>2. ความผันผวนลดลง</h3> <p>โดยทั่วไปแล้ว การเคลื่อนไหวของราคาจะช้าลง ดังนั้น โอกาสในการทำกำไรจากตลาดในฐานะผู้ซื้อขายจึงหายากขึ้น เนื่องจากราคาที่หยุดนิ่ง</p> <img alt="ความแตกต่างในปริมาณการเทรดที่ลดลงอย่างมากหลังจากตลาดนิวยอร์กปิดทำการและอยู่ในช่วงนอกเวลาทำการ" src="/getmedia/d471ba87-cfee-4844-9f68-cb5eda9a7ea9/significantly-reduced-trading-volume-difference-after-the-new-york-market-closes-and-during-after-hours.webp" title="ความแตกต่างในปริมาณการเทรดที่ลดลงอย่างมากหลังจากตลาดนิวยอร์กปิดทำการและอยู่ในช่วงนอกเวลาทำการ" width="100%" /> <p> </p> <h3>3. ช่องว่างของตลาด (Gap)</h3> <p>เนื่องจากสภาพคล่องต่ำ ช่วงนอกเวลาทำการจึงอาจส่งผลให้เกิดช่องว่างในราคา ซึ่งราคาจะเว้นที่ว่างบนกราฟราคา แสดงให้เห็นว่าไม่มีคำสั่งซื้อขายช่องราคาดังกล่าว</p> <img alt="ช่องว่างของตลาดระหว่างแท่งเทียนสุดท้ายที่ปิดตลาดและแท่งเทียนเปิดตลาดแรกของสัปดาห์ใหม่" src="/getmedia/9bb226ef-1af8-4e3a-98ad-8ef9ba9a82c1/market-gap-between-the-last-candle-at-the-close-and-the-first-candle-at-the-opening-of-the-new-week.webp" title="ช่องว่างของตลาดระหว่างแท่งเทียนสุดท้ายที่ปิดตลาดและแท่งเทียนเปิดตลาดแรกของสัปดาห์ใหม่" width="100%" /> <p> </p> <h3>4. สลิปเพจ</h3> <p>สลิปเพจเกิดขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนตัวผ่านจุดเข้าหรือจุดออก ซึ่งเกิดขึ้นในตลาดที่สภาพคล่องต่ำเช่นกัน โดยอาจเกิดขึ้นได้ตามเวลาการซื้อขายนอกเวลาทำการ</p> <img alt="สลิปเพจซึ่งเป็นผลมาจากช่องว่างเปิดตลาด" src="/getmedia/dd725fc0-9940-4bbc-b879-a7883edc44a9/slippage-resulting-from-the-opening-gap.webp" title="สลิปเพจซึ่งเป็นผลมาจากช่องว่างเปิดตลาด" width="100%" /> <p> </p> <h3>5. ไม่ค่อยมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ</h3> <p>ช่วงนอกเวลาทำการ จะไม่ได้มีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ดังนั้น จะไม่มีข้อมูลทางพื้นฐานที่จะผลักดันให้ตลาดเคลื่อนไหวในทิศทาง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวในแนว Sideways แทนที่จะเป็นตลาดที่วิ่งเป็นแนวโน้ม</p> <h2>ข้อดีที่เป็นไปได้จากการเทรดฟอเร็กซ์นอกเวลาทำการ</h2> <p>แต่การเทรดในวันที่ตลาดกำลังจะเปิดและปิดก็ไม่ได้แย่เสมอไป แล้วมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองและระบบเทรดของเทรดเดอร์อีกด้วย</p> <h3>1. โอกาสในการจับความเคลื่อนไหวที่สำคัญ</h3> <p>แม้ว่าจะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจตอนช่วงนอกเวลาทำการ แต่ราคาก็อาจเคลื่อนไหวในปริมาณมากได้เพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งอาจมาจากข่าวพื้นฐานที่สำคัญที่เกิดขึ้นช่วงข้ามคืน เช่น สถานะทางภูมิรัฐศาสตร์หรือข่าวสำคัญบางอย่างที่ส่งผลโดยตรงต่อสินทรัพย์</p> <h3>2. การแข่งขันที่น้อยลงจากผู้เล่นรายใหญ่</h3> <p>ช่วงเวลานี้มีคนเทรดน้อยลง ซึ่งรวมถึงผู้ซื้อขายตั้งแต่รายย่อยไปจนถึงนักลงทุนสถาบัน เนื่องจากผู้คนเหล่านี้ทำการซื้อขายกันหมดแล้วในแต่ละวัน อาจมีราคาพุ่งสูงขึ้นหรือการหาจุดตัดขาดทุนน้อยลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์ที่ต้องการตลาดที่ความผันผวนน้อยกว่า</p> <h3>3. ได้รับประโยชน์จากสวอปข้ามคืน</h3> <p>การถือ Order การซื้อขายของคุณนอกเวลาทำการจนถึงวันถัดไปยังทำให้คุณได้รับ<a href="/th/trading-academy/terminologies/swaps/" target="_blank">สวอป</a>ข้ามคืน ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่คุณต้องจ่ายหรือได้รับจากการถือครองการซื้อขายของคุณ มีสินทรัพย์หลายประเภทที่สวอปข้ามคืนเป็นบวก ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถถือครองการซื้อขายของคุณข้ามคืนและรับเงินเป็นค่าธรรมเนียมสวอปซึ่งอาจเป็นแหล่งรายเสริมได้อีกทางหนึ่งสำหรับคุณ</p> <style type="text/css">.small-view #gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders{ width: 85%; } .medium-view #gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders{ width: 70%; } .large-view #gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders{ width: 60%; } </style> <img alt="ทองคำที่มีสวอปบวกจากการขายชอร์ตสำหรับเทรดเดอร์ที่ถือข้ามคืน" id="gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders" src="/getmedia/9113c787-217d-46b0-918b-e181d9829f80/gold-with-positive-swaps-from-short-selling-for-overnight-traders.webp" title="ทองคำที่มีสวอปบวกจากการขายชอร์ตสำหรับเทรดเดอร์ที่ถือข้ามคืน" width="100%" /> <p> </p> <h3>4. มีเวลาในการวิเคราะห์และวางแผนมากขึ้น</h3> <p>เนื่องจากตลาดเคลื่อนไหวช้ามากในช่วงนอกเวลาทำการ เทรดเดอร์จึงมีเวลามากขึ้นในการวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์การซื้อขาย ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายอย่างในช่วง ลอนดอน-นิวยอร์กทับซ้อนกัน ซึ่งคุณอาจจะเคยละสายตาจากกราฟไปไม่กี่นาทีและเห็นว่าราคาได้ทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านไปแล้ว และคุณตกรถในการเข้าเทรด</p> <h3>5. ความผันผวน</h3> <p>ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าความผันผวนช่วงนอกเวลาทำการของตลาดนั้นต่ำกว่าช่วงเซสชั่นสำคัญ ขณะที่ความผันผวนที่ลดลงอาจเป็นข้อเสียสำหรับเทรดเดอร์บางคน แต่ตลาดที่เคลื่อนไหวช้าอาจดึงดูดเทรดเดอร์รายอื่นได้<br /> <br /> เทรดเดอร์แต่ละคนมีความชอบไม่เหมือนกันและต้องรู้ว่าอะไรเหมาะกับพวกเขา และ ความผันผวนที่ต่ำอาจเป็นประโยชน์สำหรับเทรดเดอร์แบบ Swing Trader และ Positional Trader ซึ่งพวกเขาอาจเปิดคำสั่งซื้อขายเพียงรายการเดียวและปล่อยให้ราคาดำเนินไปตามแนวโน้มระยะยาวเป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี</p> <h2>แพลตฟอร์มการซื้อขายฟอเร็กซ์ของ ThinkMarkets เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน</h2> <p>ThinkMarkets ให้บริการแพลตฟอร์มการซื้อขายต่างๆ แก่ลูกค้า ตั้งแต่ MetaTrader 4 และ 5 ไปจนถึงแพลตฟอร์ม <a href="/th/thinktrader/" target="_blank">ThinkTrader</a> ของเราเอง แพลตฟอร์มของเราเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ เทียบเท่ากับมาตรฐานโบรกเกอร์ในปัจจุบัน<br /> <br /> นอกจากนี้ เรายังมอบสเปรดที่ต่ำให้กับคุณสำหรับสินทรัพย์ทั้งหมดตั้งแต่คู่สกุลเงินหลัก เช่น EURUSD ด้วยสเปรดต่ำถึง 0 pip นอกจากนี้ เรายังพร้อมให้บริการสนับสนุนสดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อช่วยเหลือคุณเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเทรดอยู่ในเซสชันใดก็ตาม</p> <h2>บทสรุป</h2> <p>ถึงตลาดฟอเร็กซ์ที่ทำการตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน แต่ก็จะมีแต่ล่ะช่วงของวันที่ราคาในตลาดจะวิ่งแบบเข้าหน้าเทรดของเทรดเดอร์มากกว่า หน้าเทรดที่เหมาะกับตลาดที่เป็นเทรนด์ก็จะใช้ได้ดีในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงอย่างเช่นช่วงคาบเกี่ยว ลอนดอน-นิวยอร์ก แต่ระบบที่ใช้ได้ดีในการเทรดสั้นก็จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าในช่วงเซสชั่น ซิดนีย์ โตเกียว และ ช่วงคาบเกี่ยวของ โตเกียว-ลอนดอน เพราะฉะนั้นเวลาที่ดีที่สุดในการเทรดขึ้นอยู่กับหน้าเทรดของคุณ<br /> </p>
Forex
ฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละสกุลเงินเป็นกุญแจสำคัญในการเทรดฟอเร็กซ์